“เทรนด์สีประจำปี” บอกทำไมทุกปี แล้วทำไมเราต้องรู้!

หากพูดถึง “สี” ที่หลาย ๆ คนจับตามองกันในทุก ๆ ปี หนึ่งในนั้นคือ “สีประจำปี” จาก PANTONE บริษัทที่ทำธุรกิจการพิมพ์และการออกแบบสัญชาติอเมริกัน อย่างในปี 2026 ที่กำลังจะมาถึงในไม่กี่วันนี้ PANTONE ได้ประกาศให้สี Cloud Dancer หรือสีขาวนวล (PANTONE 11-4201) เป็นสีประจำปี 2026 โดยเปรียบเสมือนเสียงกระซิบแห่งความสงบสุขท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย ส่งเสริมการผ่อนคลายและการมีสมาธิอย่างแท้จริง และช่วยให้จิตใจได้ผ่อนคลายและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างอิสระ เป็นความสงบที่มาพร้อมกับความว่างเปล่า เพราะสีขาวโดดเด่นด้วยพื้นที่กว้างขวาง เหมือน “หน้ากระดาษว่าง ๆ” ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เริ่มต้นสร้างสรรค์พื้นที่ตามแรงบันดาลใจ

โดยสีขาวมีความยืดหยุ่นสูง ใช้งานได้กับสีอื่น ๆ อีกหลายโทน สามารถปรับตัว กลมกลืน และสร้างความแตกต่างได้อย่างลงตัว นำมาซึ่งความรู้สึกเบา สบายตา เหมาะกับการใช้งานในผลิตภัณฑ์และสภาพแวดล้อมทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะใช้เป็นสีเดี่ยว ๆ หรือผสมผสานกับสีอื่น ๆ ก็ตาม อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มตั้งโครงการในปี 1999 ที่ทาง PANTONE เลือกให้ “สีขาว” เป็นตัวแทนสีแห่งปี

ทว่าหลายคนอาจสงสัยว่า “สีแห่งปี” มันมีความสำคัญอย่างไร ทำไมจะต้องออกมาประกาศกันทุกปี ในความเป็นจริง “สีแห่งปี” นี้เป็นมากกว่าสีที่มาแรงหรือความสวยงาม เพราะมันเป็นภาพสะท้อนของอารมณ์ สังคม และวัฒนธรรมโดยภาพรวมของผู้คนทั่วโลกในแต่ละปีนั่นเอง และนั่นทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางให้กับการออกแบบในอุตสาหกรรมและธุรกิจสร้างสรรค์ทั่วโลกด้วย

“สีเป็นภาษากลาง” ที่ใช้สื่อสาร

“สี” มีอิทธิพลทางจิตวิทยา สีแต่ละสีสามารถกระตุ้นให้เกิดหรือบรรเทาความรู้สึกและอารมณ์ได้แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่นการใช้สีในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของศิลปินให้ผู้เสพผลงานศิลปะได้รับรู้และตีความ ก็มีที่มาจากเรื่องจิตวิทยาของสีเช่นกัน นั่นทำให้ “สี” ถูกใช้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างแบรนด์ และเป็นเครื่องมือสื่อสารอัตลักษณ์ของแบรนด์ให้ปรากฏอย่างเด่นชัดและมีประสิทธิภาพ ในเมื่อสีที่แตกต่างกันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป การที่แบรนด์ต่าง ๆ จะเลือกใช้สีในการสื่อสารจึงต้องมีความพิถีพิถันเป็นพิเศษ เพื่อดึงดูดและสร้างภาพจำของแบรนด์นั้น ๆ ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น

แม้ว่า “สี” จะไม่มีตัวอักษรแสดงความหมาย แต่ “สี” เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารได้โดยไม่ต้องมีคำพูด มันเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า โดย “สี” สามารถสร้างการรับรู้ให้ผู้ที่ได้เห็นตั้งแต่ครั้งแรกโดยสะท้อนออกมาเป็นความรู้สึก เฉดสีต่าง ๆ ที่แบรนด์เลือกใช้ จึงช่วยสร้างทางลัดให้ผู้บริโภคนึกถึงแบรนด์ได้ทันที ดังนั้น แบรนด์แต่ละแบรนด์จะต้องมีสีเป็นของตัวเอง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Corporate Identity) ให้ผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายจดจำได้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไร แบบว่าเห็นสีนี้ปรากฏขึ้นปุ๊บ ชื่อแบรนด์ก็ผุดขึ้นมาในหัวโดยไม่ต้องคิด “สี” จึงเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลัง และมีบทบาทสำคัญในแวดวงอุตสาหกรรมหลายแขนง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

ส่วนเทรนด์สีประจำปีจะถูกนำมาใช้ประโยชน์ให้แบรนด์ดูโดดเด่นและเป็นที่สังเกตได้ง่าย สำหรับการสื่อสารถึงคุณค่าของแบนด์ในแต่ละปี เพื่อเชื่อมโยงทางอารมณ์กับกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากสีแห่งปีมีความหมายที่สื่อถึงความยั่งยืน แบรนด์ก็จะนำสีนั้นมาปรับใช้สำหรับผลิตภัณฑ์หรือแคมเปญใหม่ ๆ เพื่อสื่อสารถึงเรื่องความยั่งยืนเช่นกันตามเทรนด์ที่กำลังมา โดยที่ทางแบรนด์ก็ไม่ต้องเสียเวลาทำวิจัยการตลาดด้านสีด้วยตนเองมากนักด้วย เทรนด์สีประจำปีจึงเป็นแนวทางสำคัญสำหรับนักออกแบบ นักการตลาด หรือผู้ที่ทำงานในวงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สีเพื่อการสื่อสาร ได้เห็นถึงแนวโน้มของสีที่จะได้รับความนิยมในปีถัดไป ในการวางแผนทำแบรนด์ของตัวเอง

สีมีผลต่อการวางแผนออกผลิตภัณฑ์หรือแคมเปญใหม่ของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

เนื่องจากเราใช้ประโยชน์จาก “สี” ในฐานะตัวกลางในการสื่อสาร ดังนั้น เมื่อมีการประกาศสีแห่งปี (Color of the Year) ออกมา มันจะกลายเป็นแม่แบบที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมและธุรกิจสร้างสรรค์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ อุตสาหกรรมแฟชั่นและเครื่องสำอาง ดีไซเนอร์จะนำสีนั้นไปประยุกต์ใช้ในคอลเลกชันฤดูกาลใหม่ ส่วนเครื่องสำอางก็จะออกผลิตภัณฑ์ในโทนสีนั้น ๆ ในวงการออกแบบตกแต่งภายใน สีแห่งปีจะกำหนดทิศทางการตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ สีทาผนัง หรือของตกแต่งบ้านอื่น ๆ หรือแวดวงเทคโนโลยีและสินค้าอุปโภค ก็จะออกรุ่นหรือแพ็กเกจที่มีสีตามเทรนด์เพื่อกระตุ้นยอดขาย ทำให้ผู้บริโภคอยากซื้อของใหม่ที่ “ทันสมัย”

นอกจากนี้ สีแห่งปียังมีผลต่อการสร้างแบรนด์และการออกแบบสื่อการตลาดของแบรนด์ในแต่ละปี โดยหลายแบรนด์จะปรับ mood & tone ของแคมเปญต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับเทรนด์สีแห่งปี นักออกแบบของแบรนด์สามารถใช้สีที่กำลังเป็นที่นิยมในงานกราฟิก โฆษณา ผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แบรนด์ดูสดใหม่ มีภาพลักษณ์ที่ทันสมัย สอดคล้องกับกระแสโลก และสามารถสื่อสารอารมณ์ได้สอดกับเทรนด์ความรู้สึกของผู้บริโภคในปีนั้น ๆ ในส่วนนี้จะช่วยเพิ่มความดึงดูดใจผู้บริโภคได้

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นความสำคัญของ “สี” ที่แบรนด์เลือกใช้ว่ามีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคอย่างไรบ้าง โดยคนส่วนใหญ่จะตัดสินใจซื้อภายใน 90 วินาทีหลังจากที่เห็นครั้งแรก และตัดสินใจบนพื้นฐานของสีเป็นอันดับแรกด้วย นั่นทำให้เห็นว่า “สี” มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค เนื่องจากสีมีผลต่ออารมณ์และภาพลักษณ์สินค้าโดยตรง และสีที่ “เข้ากับเทรนด์” ก็มักจะขายได้ง่ายขึ้น เพราะผู้บริโภคจะรู้สึกว่าเป็นของใหม่ มีความทันสมัย และสอดคล้องกับช่วงเวลา

เทรนด์สีสะท้อนและกำหนดทิศทางของสังคม

สีที่ถูกเลือกให้เป็น “สีแห่งปี” นั้นไม่ได้มาจากการสุ่ม ไม่ใช่ว่านึกอยากจะกำหนดสีอะไรก็กำหนดขึ้นมาตามใจชอบ แต่มันถูกเลือกจากการวิเคราะห์ตามกระแสโลกและทิศทางของสังคมอย่างครอบคลุมในทุกมิติ เช่น แนวโน้มของพฤติกรรมผู้บริโภค บริบทของสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และการเมือง นักวิเคราะห์จะศึกษาข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งวงการศิลปะ แฟชั่น ภาพยนตร์ การเมือง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เพื่อหาว่าสีใดที่กำลังเริ่มปรากฏตัวและมีความหมายสอดคล้องกับเหตุการณ์สำคัญหรือบรรยากาศโดยรวมของโลก ข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาวิเคราะห์ คัดกรอง และถอดค่าว่าเข้ากับความหมายของสีใด ดังนั้น สีแห่งปีจะมีที่มาที่ไปว่าทำไมสีนี้ถึงถูกเลือก

ดังนั้น สีแห่งปีจึงเป็นสีที่สะท้อนอารมณ์โดยรวมของผู้คน และสะท้อนความรู้สึกที่ผู้คนกำลังมองหา ตัวอย่างเช่น ในปีที่โลกเผชิญกับความไม่แน่นอน วุ่นวาย สีที่ถูกเลือกให้เป็นสีแห่งปีจะเป็นสีที่สื่อถึงความสงบ มั่นคง และน่าเชื่อถือ อย่างโทนสีฟ้าเข้ม Classic Blue ในปี 2020 ที่ช่วยสร้างความรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายในโลกที่วุ่นวาย หรือในปี 2021 คู่สีแห่งปีคือ สีเหลืองสดใส Illuminating และสีเทาเข้ม Ultimate Gray เพื่อสื่อถึงความหวังและพลังที่แข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดในช่วงเวลานั้น คือ COVID-19

และเนื่องจาก “สี” เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารได้แบบสากล ใช้บ่งบอกอารมณ์และความรู้สึกได้ผ่านสีที่แตกต่างกันออกไป สีจึงอาจกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารทางอารมณ์และค่านิยมของคนยุคปัจจุบันได้ด้วย ดังที่เราจะเห็นว่าผู้คนมักใช้เทรนด์สีในการสร้างตัวตน ผ่านเสื้อผ้า ของใช้ บ้าน หรือโซเชียลมีเดีย ในการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของตนเอง และเทรนด์สี ก็จะช่วยให้เกิดจุดร่วมทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน

จะเห็นว่าเทรนด์สีจะทำหน้าที่เป็น “แนวโน้มของรสนิยม” ที่สื่อถึงอารมณ์ของโลก และชี้นำทิศทางของตลาดให้กับหลายอุตสาหกรรมโดยตรง ทั้งด้านการออกแบบ การสร้างสรรค์ การตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค ไปจนถึงค่านิยมสังคมในปีนั้น ๆ