การส่งสัญญาณของผู้ชมถึงเหล่าผู้จัดและเอเยนซี

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของการเสพสื่อจากหน้าจอหลักโทรทัศน์ กลายเป็นจอเล็กจากสมาร์ตโฟน และละครรูปรสแบบที่คนไทยเคยชอบ กลายเป็นสิ่งที่ผู้ชมต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีหนึ่งผลสำรวจและหนึ่งกระแสที่เชื่อว่าคนทำละครและนักแสดงที่ยังคงซื่อสัตย์กับการทำงานของตนเองน่าจะพอมีกำลังใจกันมากขึ้น และข้อมูลจากทั้งสองเรื่องน่าจะทำให้เห็นว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น หากมีการปรับตัวให้เข้ากับปัจจุบัน ย่อมส่งผลที่ดีขึ้นต่อผู้ที่เปิดใจยอมรับอย่างแน่นอน

หลายคนคิดว่าละครหลังข่าวตายไปแล้ว เพราะความที่ผู้ผลิตต้องต่อสู้กับแพลตฟอร์มต่างประเทศที่นำเอาซีรีส์และภาพยนตร์มาให้ชมกันแบบจุใจ ในขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันเปลี่ยนไป ยินดีที่จะจ่ายเพื่อหาความบันเทิงภายในบ้าน แต่การที่ละครที่ถูกดองมาเกือบห้าปีของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง มีเรตติ้งพุ่งทะยานไปถึง 4.0 (เรตติ้ง 1 เท่ากับ 600,000) ทำให้เห็นว่ายังมีกลุ่มผู้ชมที่ยังคงต้องการรสชาติละครไทยอยู่อีกเป็นจำนวนมาก

หากแต่การมาถึงของแพลตฟอร์มที่เรียกว่า OTT หรือ Over the Top TV ทำให้คนมีทางเลือกมากขึ้น สถานีโทรทัศน์ที่เคยแบ่งช่วงเวลาละครเอาไว้ เป็นไพร์มไทม์หนึ่งคือละครเย็น และไพร์มไทม์สองคือละคร หลังข่าว ต้องเจอกับวิกฤติโฆษณาที่เหล่าเอเยนซี แห่แหนกันไปซื้อโฆษณาออนไลน์มากกว่าจะซื้อโฆษณาจากสถานีโทรทัศน์ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว หากในธรรมชาติของผู้ชมไม่ว่าจะเป็นบนแพลตฟอร์มใด จะมีระยะเวลาที่พวกเขาชื่นชอบอยู่ประมาณ 90 วัน (หรือสามเดือน) หลังจากนั้นพวกเขาจะเริ่มรู้สึกเบื่อ และมองหาคอนเทนต์ที่สนุกกว่าเดิมเพื่อเติมโดพามีนให้กับร่างกาย 

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ละครของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งทำเรตติ้งที่เรียกว่าสร้างเซอร์ไพรส์ ให้กับช่องได้อย่างมากมาย เพราะท่ามกลางมหาสมุทรคอนเทนต์แห่งความบันเทิงนั้น คนที่ไม่ได้บอกรับสมาชิกแพลตฟอร์มแบบ OTT หรือคนที่ต้องการเสพละครเพื่อความบันเทิง กลายเป็นกลุ่มที่ถูกทอดทิ้ง เอเยนซีไม่สนใจ สุดท้ายเรตติ้งละครเรื่องดังกล่าวจึงเหมือนการตบหน้าเหล่าเอเยนซีที่นั่งทำงานในห้องแอร์ กับอ่านตัวเลขที่วิเคราะห์โดย AI ให้ต้องหันกลับมาพิจารณาว่าบนแพลตฟอร์มทีวีนั้น แท้จริงแล้วยังมีจำนวน Audience อยู่อีกมากที่ต้องการเสพสื่อในสไตล์ที่พวกเขาคุ้นเคย 

ส่วนอีกหนึ่งกระแสที่ผู้เขียนเองได้เห็นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ไม่ได้ดูละครต้นฉบับ แต่กระแสความชื่นชมที่มีต่อนักแสดงวัย 50+ กับการเล่นละครในแนว boy love หรือที่เหล่าสาววายจะคุ้นในคำศัพท์ที่ว่าเคะ (Uke) กับเมะ (Seme) ศัพท์ที่มาจากวัฒนธรรมการ์ตูนญี่ปุ่นในแนว Yaoi และ BL สร้างความประหลาดใจให้กับตัวนักแสดงที่ถูกกล่าวถึงในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน X (หรือ Twitter เดิม) 

กระแสในแง่บวกที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่านักแสดงรุ่นเก่ามากฝีมือนั้น เมื่อปรับตัวมาเล่นละครในแนวนี้ พวกเขาสามารถทำได้ลึกกว่านักแสดงรุ่นใหม่ และกลายเป็นจุดแข็งสำคัญที่น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนในไม่ช้า เมื่อมีผู้จัดละครเริ่มหันมาใช้บริการนักแสดงรุ่นใหญ่ หรือนักแสดงในค่ายที่มีฝีมือมาเป็นตัวละครตามจินตนาการของเหล่า Girl Love และ Boy Love 

สองกระแสที่เกิดขึ้นในแวดวงบันเทิงไทย เป็นการส่งสัญญาณที่ทำให้เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ฆ่าสื่อหรือแพลตฟอร์มดั้งเดิม แต่การปรับตัวให้เข้ากับปัจจุบันทำให้พวกเขาไม่ล้าสมัย และชัดเจนว่านี่คือยุคที่ผู้ชมมีสิทธิเลือก ทำให้ต่อจากนี้ จะไม่มีสื่อใดได้ผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว

สัญญาณทั้งหมดนี้ หากเหล่าเอเยนซีทั้งหลายแปลความได้ อยากจะให้พวกคุณลองเงยหน้าขึ้นมาจากข้อมูลที่วิเคราะห์โดย AI หรือ Social Listening สัมผัสความเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง จะได้มองเห็นมุมมองใหม่ ไม่ต้องวิ่งตามกระแสเป็นหนูถีบจักรอยู่ตลอดเวลาค่ะ

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า