ไม่รู้เหมือนกันว่าช่วงนี้ตัวเองเป็นอะไร รู้สึกเบื่อๆ และไม่ค่อยอินกับซีรีส์ที่มีเนื้อหาหนักหน่วงเท่าไรนัก โดยเฉพาะแนวดราม่าตับพังนี่ไม่เอาเลย แนวประสาทรับประทานก็ไม่สู้ แนวโรแมนติกก็ออกจะเอียน ๆ พระเอกหล่อพระรองแสนดีก็ยังไม่ได้รู้สึกฟิน แนวบู๊ยังไหวอยู่เพราะมันสนุกในตัวเอง ขนาดแนวโปรดอย่างพวกซีรีส์ที่ชอบทิ้งปมปริศนาไว้ให้ตามสืบสวนสอบสวนอย่างเข้มข้น ยังคิดแล้วคิดอีกก่อนจะเปิดดู ถ้าถามว่าดูได้ไหม ก็ดูได้แหละ ดูแล้วสนุกไหม ก็คงสนุกแหละ แต่มันจะออกแนวดูแบบปล่อยจอย เปิดดูแบบผ่าน ๆ ปล่อยให้มันเล่นจนจบไปมากกว่า ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเอามาก และต้องการการเยียวยาจิตใจอย่างด่วน ไม่งั้นชีวิตด้านอื่น ๆ จะพลอยหมดสนุกตามไปด้วยแน่นอน
นั่นทำให้ได้ค้นพบว่ายังมีซีรีส์บางประเภทที่ยังเปิดใจดูได้ นั่นก็คือแนวฟีลกู๊ดเยียวยาจิตใจ อารมณ์แบบตัวละครค้นหาคำตอบบางอย่างของชีวิต (ให้ตัวละครสู้ชีวิตไป แล้วเดี๋ยวฉันมาตกผลึกเอง) ไม่รู้สิ เหมือนพออายุมากขึ้นแล้วมันเกิดอินกับอะไรแนวปรัชญาขึ้นมามั้ง 555 สังเกตได้เลยว่าช่วงหลัง ๆ จะเขียนซีรีส์แนวนี้ซะเยอะ แนวที่ชอบหรือเรื่องที่รอดูมานานก็จะมีแบบประปราย และในสัปดาห์นี้ก็มีซีรีส์อีกเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่าน่าจะเป็นยาใจที่ดีได้เหมือนกัน เพราะตามเรื่องย่อบอกมาว่ามันเป็นซีรีส์ที่นำเสนอ “การเที่ยว” ที่ช่วยปลอบประโลมใจ และทุกทริปในเรื่องนี้จะเป็นทริปแห่งความเปลี่ยนแปลง

My Lovely Journey เป็นซีรีส์เกาหลีที่ดัดแปลงจากนิยายญี่ปุ่น Welcome Back, Traveler ตัวซีรีส์บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวผู้ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ปัจจุบันวงแตกไปแล้ว เธอไม่เคยได้เป็นเซ็นเตอร์ แทบไม่เคยมีตัวตน ขนาดเหล่าแฟนคลับยังเห็นเธอเป็นเพียงเมมเบอร์ตัวประกอบเท่านั้น ปัจจุบันเธอทำงานเป็นผู้ดำเนินรายงานรายการท่องเที่ยว One Day Travel มานานถึง 5 ปี แต่ด้วยอุบัติเหตุบางอย่างทำให้รายการถูกถอด เธอกลายเป็นคนตกงานที่อาจจะต้องหายหน้าหายตาไปจากจอทีวี หนำซ้ำรักแรกของเธอยังไปคบกับอดีตเพื่อนสนิทอีกต่างหาก บริษัทต้นสังกัดก็กำลังแย่ อุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา ทำให้เธอกำลังเผชิญหน้ากับความไม่มั่นคงอย่างรุนแรง

แม้ภายนอกของเธอจะยังดูไหว แต่ข้างในเธอไม่ไหวแล้ว เธอกำลังแบกรับความท้อแท้สิ้นหวังเอาไว้มากมาย แต่กลับพูดระบายให้ใครฟังไม่ได้เลย ได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดทุกอย่างไว้ ส่วนหนึ่งคือรู้สึกผิดหวังที่พาชีวิตตัวเองดิ่งลงเหวอยู่ทุกวัน โดยที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้สถานการณ์มันดีขึ้น รู้สึกเป็นคนไร้ค่า เพราะอายุจะเหยียบสามสิบอยู่แล้วแต่ยังย่ำอยู่กับที่ รู้สึกผิดที่ทำให้คนที่บ้านผิดหวัง และรู้สึกเกรงใจประธานบริษัทเอนเทอร์เทนเมนต์ ผู้ที่คอยผลักดันเธออย่างสุดทางทั้งที่บริษัทก็ย่ำแย่ แถมเขาก็เป็นเหมือนพ่อที่คอยดูแลเด็กบ้านนอกอย่างเธออย่างดี ตั้งแต่เดินทางเข้าเมืองหลวงมาเป็นเด็กฝึกตอนอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น

ตอนที่รายการท่องเที่ยวที่เธอเป็นผู้ดำเนินรายการถูกถอดออกจากผัง เธอเคยได้รับความช่วยเหลือจาก Video Editor คนหนึ่ง ถึงเธอจะไม่รู้จักเขาแต่เขารู้จักเธอดีผ่านฟุตเทจรายการที่ถูกส่งมาให้เขาตัดต่อ เขาผู้นี้ดูเหมือนชายหนุ่มสู้ชีวิตธรรมดา ๆ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นลูกชายเศรษฐีที่ตัดขาดกับที่บ้าน เพราะลาออกจากงานวิศวกรมาทำพาร์ตไทม์เป็นเจ้าหน้าที่ตัดต่อ ขณะเดียวกันก็ไล่ตามความฝันในการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ หลังจากที่รายการท่องเที่ยวถูกถอด เขาก็ออกจากงาน และมุ่งมั่นที่จะมาทำงานกับเธอแทน หลังจากที่เธอตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตบทใหม่ เขาก็กลายมาเป็นหุ้นส่วนในบริษัทลูกของบริษัทต้นสังกัดเธอ คอยผลักดันให้เธอค้นหาความหมายชีวิตและความสำเร็จต่อไป
ฉันไม่เคยไปเที่ยวคนเดียวมาก่อน การไปเที่ยว สำหรับฉันคืองานที่มีบทและมีคนคอยนำทาง
ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่เธอทำงานเป็นผู้ดำเนินรายการท่องเที่ยว เธอเดินทางไปที่นั่นที่นี่แทบจะทั่วประเทศก็จริง แต่ทั้งหมดนั่นเป็นเพียง “การทำงาน” เท่านั้น มันไม่ใช่การ “ไปเที่ยว” ตามความหมายที่แท้จริงของการท่องเที่ยวเลยสักนิด เพราะนิยามของไปเที่ยว คือ การไปไหน ๆ เพื่อความเพลิดเพลินตามสบาย ทว่าเที่ยวสำหรับเธอ มันคือหน้าที่การงานที่ทำเพื่อให้ได้เงิน และทำเพื่อให้ตัวเองยังมีพื้นที่อยู่บนจอทีวี หลังจากที่วงแตก ไอดอลตกอับอย่างเธอก็มีเพียงรายการท่องเที่ยวรายการนี้ที่จะทำให้เธอยังได้เฉิดฉายอยู่บนหน้าจอ มีพื้นที่อยู่ในวงการบันเทิง และปลอบใจตัวเองไปวัน ๆ ว่าเธอยังคงทำงานอยู่ในวงการนี้

พูดง่าย ๆ ก็คือ ทุกครั้งที่เธอทำรายการเที่ยว ออกตระเวนไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เธอไม่ได้ออกเดินทางเพราะใจรักที่จะเที่ยว แต่ทำเพราะมันเป็นงานที่ช่วยตรึงเธอไว้ในวงการบันเทิง เพื่อให้ครอบครัวที่บ้านเกิดเปิดทีวีมาแล้วยังเธอในทีวี เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลา 5 ปีนี้เธอไม่เคยได้ค้นพบความหมายของการเดินทางเที่ยวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกที่ที่เธอไปมันมีบท มีคนกำกับว่าต้องทำอย่างนั้นห้ามทำแบบนี้ ที่สำคัญ มันการันตีว่าเธอจะไม่หลงทางเองหรือต้องแก้ปัญหาเองหลังจากเผชิญเหตุไม่คาดคิด ทำให้เธอทำอะไรเองไม่เป็นเลยสักอย่าง แม้กระทั่งการจองตั๋ว ไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนนอกจากการไปเพื่อถ่ายทำรายการ เมื่อการทำงานของเธอสิ้นสุดลง โลกทั้งใบของเธอจึงถล่มลงมา
ถึงอย่างนั้นการออกเที่ยวที่เคยเป็นแค่งานของเธอก็ไม่ได้สูญเปล่า เมื่อรายการเที่ยวที่เธอเป็นผู้ดำเนินรายการมาตลอด 5 ปี ก็เปรียบดั่งเพื่อนสนิทของใครบางคนไปแล้ว คนดูต่างผูกพันกับเธอผ่านทางหน้าจอทีวี และรู้สึกได้ว่าการทำงานของเธอนั้นเหมือนทำให้พวกเขาได้ไปเที่ยวเองจริง ๆ พวกเขาสัมผัสได้ว่าเธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด มันแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเธอที่ถ่ายทอดมันออกมาผ่านการทำงาน แฟนรายการคนหนึ่งจากต่างประเทศจึงส่งจดหมายมาว่าจ้างให้เธอทำหน้าที่ “ไปเที่ยวแทน” และนี่เองคือเส้นทางใหม่ของเธอ ทางที่ไม่คุ้นชินและไม่คุ้นเคย ทีแรกเธอปฏิเสธ แต่เพราะไม่มีที่ไป เธอจึงออกเดินทางเพื่อไปตายเอาดาบหน้า

การ “ไปเที่ยวแทน” คือการเดินทางที่เจ้าของทริปไม่สามารถเดินทางไปเองได้ หรือเป็นเรื่องยากที่จะทำเอง พวกเขาจึงต้องการให้ใครสักคนทำหน้าที่ไปเที่ยวแทน เพียงแค่พาของรักของหวงของพวกเขาไปเที่ยว แล้วถ่ายรูปหรืออัดคลิปวิดีโอส่งไปให้ดู มันก็ได้ความรู้สึกเหมือนกับได้ออกเที่ยวเอง แต่เพราะมันไม่ใช่รายการทีวี เธอจึงต้องทำทุกอย่างด้วยคนเดียว ออกเดินทางบนเส้นทางที่ไม่ได้วางแผนตามคำขอของคนแปลกหน้าที่บอกให้เธอเดินทางไปที่ไหนสักที่ รับของกิน คำแนะนำ และมิตรภาพจากคนไม่รู้จักกันที่หยิบยื่นมาให้ ไม่มีทีมงาน ไม่มีบท ไม่มีคนคอยกำกับ นี่จึงเป็นการออกเดินทางเที่ยวครั้งแรกของเธอ เพื่อเริ่มต้นการผจญภัยที่เธอเป็นผู้กำกับชีวิตตัวเอง
ฉันใช้ชีวิตเหมือนเป็นนักมวยที่กำลังจะขึ้นชกยกสุดท้ายมาตลอดเลย สิ้นหวังเหมือนนักกีฬาที่ถ้าแพ้เกมนี้ไป ก็ต้องแขวนนวมทิ้งเท่านั้น
สารภาพตรงนี้เลยว่าทีแรกที่ตัดสินใจเปิดซีรีส์เรื่องนี้ขึ้นมาดู เพราะมโนว่ามันจะเล่าเรื่องแบบเรื่อง One Day Off ซึ่งเล่าการออกเดินทางของคุณครูคนหนึ่ง ที่มีแผนออกทริปเที่ยวคนเดียวแบบไปเช้าเย็นกลับในทุก ๆ วันเสาร์ มันเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องอย่างเรียบง่ายผ่านตัวละครหลักเพียงคนเดียว และตัวซีรีส์ไม่ได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของตัวละครมากนัก แต่ละอีพีจะเล่าเพียงทริปที่เธอใช้สองเท้าเดินนำหัวใจที่ปล่อยจอยไปเรื่อย ๆ หิวก็แวะกินร้านข้างทาง ลงรถผิดป้าย เดินหลงทาง ไปเยี่ยมเยียนคนรู้จัก มีปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า ไม่เว้นแม้แต่มีปากเสียงกับนักเดินทางคนอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นประสบการณ์และความทรงจำที่ล้ำค่าของตัวละคร

แต่ My Lovely Journey เล่าเรื่องต่างออกไป ซีรีส์เรื่องนี้เน้นเล่าชีวิตที่ล้มเหลวของตัวละครหลัก เธอเป็นเด็กต่างจังหวัด บ้านเกิดคือเกาะเล็ก ๆ เดินทางเข้าเมืองหลวงตั้งแต่อายุ 13 มาเป็นเด็กฝึกในบริษัทเอนเทอร์เทนเมนต์ เด็กหญิงคนหนึ่งจากพ่อจากแม่จากบ้านเกิด เดินทางมาตามหาความฝันและความสำเร็จในเมืองใหญ่นานหลายปี แต่กลับไม่ถึงฝั่งฝันอย่างที่คาดหวังไว้ ที่แย่ที่สุดก็คือเมื่อทุกอย่างพัง เธอไม่มีที่ให้กลับไป เพราะการกลับบ้าน กลับไปสู่อ้อมอกของพ่อแม่ มันเท่ากับว่าเธอยอมรับความพ่ายแพ้ รวมถึงเธอไม่ต้องการให้คนในครอบครัวมารับรู้ความล้มเหลวอันน่าสมเพชของเธอ ทุกครั้งที่แม่โทรหา เธอได้แต่โกหกไปวัน ๆ ว่าเธอสบายดี ไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
จากคำพูดพ่อ ที่บอกว่าเธออย่ากลับบ้านเด็ดขาดจนกว่าจะทำสำเร็จ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด เธอรู้ว่าพ่อพูดด้วยความรักและหวังดี เพราะการที่เด็กสาวเติบโตมาบนเกาะ มันช่างห่างไกลจากความฝัน พ่อไม่ต้องการให้เธอมีชีวิตที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอันอยู่บนเกาะที่ไม่มีความเจริญอะไรเลย ทว่าเธอที่จากบ้านมานานตั้งขนาดนั้นแล้ว ยังทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักอย่าง ทุกครั้งที่เธอพยายามกลบเกลื่อนความล้มเหลวของตัวเอง มันก็ยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น ความสิ้นหวังของเธอมันมืดมิดชนิดที่เธอมองไม่เห็นปลายทางเลยว่าจุดจบของการโกหกครั้งนี้จะสิ้นสุดเมื่อไร จะไปต่อก็หนาวเหน็บเกินไป จะกลับบ้านก็ต้องแบกความเจ็บปวดไปด้วย เธอไม่มีที่ไปอีกแล้ว

แต่ในเวลานี้ เธอรู้แล้วว่าตลอดเวลาที่เธอต่อสู้เพื่อความสำเร็จ เธอโฟกัสผิดจุด เธอมัวแต่สนใจจุดที่ตัวเองพัง มองเห็นแต่ความล้มเหลวของตัวเอง โดยลืมไปว่าชีวิตของเธอไม่ได้มีแค่สังเวียนของการต่อสู้ ที่ถ้าแพ้คือจบ เธอยังมีชีวิตนอกสังเวียนที่ต้องเดินต่อ มีผู้คนมากมายคอยเชียร์อยู่และพยายามผลักดันให้เธอไปต่อทั้งเกมชีวิตและเกมพิชิตความสำเร็จ บนสังเวียนยังมีเกมอื่นให้เธอได้แก้ตัวเสมอ มันจะยังไม่จบตราบใดที่เธอยังไม่ยกธงขาวยอมแพ้ ต่อให้เธอจะหมดหวังในวงการบันเทิง เธอก็แค่ออกมาเติบโตข้างนอก เหมือนนักมวยที่ชกแพ้ ถ้ายังไม่เลิกเป็นนักมวย ก็ยังมีเกมหน้าให้ลงแข่ง “ล้มเหลว” ต้องไม่เท่ากับ “ล้มเลิก” มันยังไปต่อได้เสมอถ้าใจยังไม่ยอมแพ้
แม้ชีวิตในวงการบันเทิงของนางเอกอาจจะจบเห่ แต่เธอยังมีชีวิตข้างนอกที่ต้องค้นหาความหมายต่อไป นี่คือใจความสำคัญที่ซีรีส์ My Lovely Journey สื่อสารให้คนดูอย่างเราได้รับรู้ผ่านการออกเดินทางเที่ยว หลังจากที่นางเอกตัดสินใจรับงานเที่ยวแทน เราจะเห็นว่าเธอเองต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด ถึงจะเป๋ ๆ ไปบ้าง ถึงขั้นไม่รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี หรือมีความผิดพลาดมากมายเกิดขึ้นระหว่างทาง แต่เมื่อตั้งหลักได้ และรู้ว่าตัวเองมีคนคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอด เธอก็ทำมันออกมาได้ดีแบบมืออาชีพคนหนึ่ง จนปิดจบงานแรกไปได้อย่างสวยงาม และงานที่สองที่เธอต้องเดินทางกับน้องหมารีทรีฟเวอร์ ก็มีบทเรียนบางอย่างรอเธออยู่

My Lovely Journey สำหรับฝั่งเกาหลีอาจเป็นเพียงซีรีส์ช่องเล็ก ๆ ส่วนในไทย ก็เป็นซีรีส์นอกกระแส เพราะแอปฯ สตรีมที่ซื้อลิขสิทธิ์มายังไม่แมสในวงกว้าง (ซับไทยถูกลิขสิทธิ์ที่ TrueVisions NOW) แต่เพราะเป็นซีรีส์ที่เรียบง่ายและไม่มีอะไรหวือหวานี่แหละ เลยทำให้เป็นซีรีส์ที่เราเลือกที่จะหยิบมันขึ้นมาดูเพื่อเยียวยาใจในช่วงหมดไฟแบบนี้ คำตอบต่าง ๆ ที่นางเอกและพระเอกตามหา อาจเป็นคำตอบเดียวกันกับที่เราตามหาอยู่ก็ได้ แต่ที่น่าสนใจก็คือ การที่ตัวละครพาเราออกเที่ยวนี่แหละ ระหว่างทางก็มีอาหารนั่นนี่ชวนหิวตาม มันคือสุนทรีย์ที่ทั้งบันเทิงและชวนอิ่มอกอิ่มใจได้มากกว่าการเดินเรื่องแนวฟีลกู๊ดทั่ว ๆ ไป🎒





























