One Day Off ซีรีส์ปล่อยใจจอย ไว้ใจสองขาพาไปล่องลอย

ภาพจาก IG: wavve.official

ซีรีส์ในสัปดาห์นี้เป็นซีรีส์นอกกระแสที่หลายคนอาจไม่สนใจและมองข้ามผ่านไป เนื่องจากไม่มีการโปรโมต ไม่มีซับภาษาไทย (และคิดว่าคงไม่มีด้วย ขนาดซับอังกฤษยังลุ้นแทบตาย) แต่ส่วนตัวเป็นคนที่บางทีก็อยากดูอะไรแนวปล่อยจอยกับชีวิตบ้าง อยากดูอะไรที่มันไม่หวือหวา มีอารมรณ์ร่วมกับการเยียวยาจิตใจ และซีรีส์ที่ให้แนวคิดบางอย่างเกี่ยวกับการใช้ชีวิต การได้เห็นการเดินทางที่คาบเกี่ยวกันระหว่างการเที่ยวและการมีชีวิตในแบบที่ได้เรียนรู้และเติบโตไปเรื่อย ๆ จากการเดินทาง

One Day Off หรือชื่อเรื่องเดิมว่า Park Ha Kyung’s Journey เป็นซีรีส์ที่มีท้องเรื่องเป็นช่วงทศวรรษที่ 1990 เรื่องราวของหญิงสาวที่มีชื่อว่า “พัคฮาคยอง” เธอทำงานเป็นครูสอนวิชาวรรณกรรมเกาหลีอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ถึงอย่างนั้น ตัวซีรีส์แทบไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องอาชีพของเธอเลย แต่จะเน้นไปที่การออกทริปเที่ยวคนเดียวแบบไปเช้าเย็นกลับในทุก ๆ วันเสาร์ต่างหาก ซึ่งทริปของเธอก็เรียบง่ายมาก เธอใช้สองเท้านำหัวใจที่ปล่อยจอยไปเรื่อย ๆ หิวก็แวะกินนั่นกินนี่ข้างทาง เดินหลงทางบ้าง ลงรถผิดป้ายบ้าง เดินทางไปเยี่ยมลูกศิษย์บ้าง พูดคุยกับคนแปลกหน้าบ้าง ทะเลาะกับคนแก่บ้าง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นประสบการณ์และความทรงจำที่ล้ำค่าของเธอ

เมื่อฉันปรารถนาจะหายไป ฉันก็จัดวันเดย์ทริปซะเลย!

ภาพจาก IG: wavve.official

ดูเผิน ๆ มันอาจจะดูจืด ๆ และน่าเบื่อไปหน่อย ซีรีส์ที่มีพล็อตแบบออกเดินทางเพื่อเยียวยาจิตใจแบบนี้ ซึ่งคนเขียนบทเขาก็รู้แหละ ความยาวซีรีส์เรื่องนี้จึงมีแค่ 8 ตอน และตอนละประมาณ 25 นาทีเท่านั้น เรื่องจบสมบูรณ์ใน 1 ตอน แต่เล่าเรื่องผ่านตัวละครตัวเดียวตัวเดิม การที่พัคฮาคยองตัดสินใจใช้วันเสาร์ของเธอสำหรับออกเดินทาง มันก็สะท้อนให้เห็นภาพของมนุษย์ธรรมดาที่บางครั้งก็ไม่อยากจะมีชีวิตแบบธรรมดาในทุกวัน แต่อยากจะก้าวข้ามกรอบชีวิตประจำวันแบบที่ทำซ้ำ ๆ เดิม ๆ จำเจจนน่าเบื่อหน่าย เธอเขื่อว่าการออกไปเจอกับอะไรใหม่ ๆ ย่อมมีเรื่องราวที่น่าตื่นตาตื่นใจรออยู่เสมอ นั่นทำให้การทำตัวเป็นคนพเนจรหนึ่งวันต่อสัปดาห์ ดูจะเป็นช่วงเวลาที่เธอรอคอยตลอด

แล้วการออกเดินทางของเธอก็ไม่มีอะไรที่ยุ่งยากด้วยนะ เป้หนึ่งใบไม่ก็กระเป๋าผ้าที่ใบใหญ่หน่อยหนึ่งใบ เตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ เดินเข้าที่นั่นออกที่นี่ แวะกินอะไรข้างทางไปเรื่อย ๆ พร้อมอุทานว่า “ทำไมถึงอร่อยแบบนี้!” แล้วก็ปล่อยจอยให้ตัวเองเคว้งคว้างไปตามทาง น่าแปลกที่เรื่องไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีเหตุการณ์อะไรอันตรายให้เครียดให้ลุ้นเลยด้วย แต่ดูแล้วอินตามเฉย รู้สึกสนุกไปกับการเดินทางของพัคฮาคยอง ทั้งที่ตัวเองก็นอนดูอยู่บนที่นอนเฉย ๆ

ภาพจาก IG: wavve.official

สัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่รู้สึกว่าซีรีส์เขาทำได้ธรรมดาแต่ลึกซึ้งดี คือการใช้ภาพถุงพลาสติกสีขาวที่ลอยล่องอยู่ในอากาศสื่อสารถึงความอิสระ ระหว่างที่พัคฮาคยองกำลังสอนหนังสือนักเรียนอยู่ เธอพบว่าเด็ก ๆ ในชั้นเรียนของเธอนั้นสภาพไม่ไหวสักคน หลายคนนั่งหาว จำนวนหนึ่งนั่งไถโทรศัพท์มือถืออย่างเบื่อ ๆ บางคนนั่งเหม่อแบบตาจะปิด บางคนฟุบโต๊ะไปแล้ว บางคนนั่งวาดรูปเล่นในหนังสือ แต่กลับมีสิ่งหนึ่งนอกหน้าต่างที่ดึงความสนใจของนักเรียนทุกคนที่กำลังเบื่อเต็มแก่ให้หันออกไปมองพร้อม ๆ กัน ซึ่งเมื่อครูเห็นว่าจุดรวมสายตาของนักเรียนในห้องไปรวมอยู่ที่เดียวนอกหน้าต่าง เธอเลยสนใจที่จะดูบ้าง ก่อนจะพบว่าแค่ถุงพลาสติกใบเดียวก็ทำให้เธอจิตใจล่องลอย

วัตถุนอกหน้าต่างห้องเรียนที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจไม่ใช่วัตถุแปลกประหลาดอะไร มันเป็นเพียงถุงพลาสติกหูหิ้วสีขาวที่กำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ ช่วงเวลาเพียงแค่ประมาณ 5 วินาทีที่กล้องจับให้เห็นถุงพลาสติกที่กำลังลอยอยู่อย่างไร้ทิศทางที่แน่นอน มันสัมผัสได้ถึงความอิสระ และการปลดปล่อยให้ตนเองได้ออกไปเคว้างคว้างบ้าง เพราะชีวิตแบบที่เรียกว่า “กิจวัตรประจำวัน” หรือกิจที่เราทำเป็นประจำในทุก ๆ วัน บางทีมันก็น่าเบื่อจนน่าหดหู่เกินไป

ภาพจาก IG: wavve.official

อย่างไรก็ตาม เธอเองก็แอบรู้สึกอยู่เหมือนกันว่าตัวเองจะเป็นพวก Pathological Tourism หรือ Dromomania หรือเปล่า ซึ่งก็คืออาการของคนที่อยากจะออกเดินทางท่องเที่ยวอยู่ตลอดเวลาโดยไม่กังวลถึงสิ่งใด หลงระเริงไปกับการเดินทางโดยที่ไม่สนใจว่าจะมีเงินและกำลังอยู่เท่าไร สามารถละทิ้งหน้าที่การงาน ครอบครัว ชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่ตัวตนของตัวเองไป เธอตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่าความบ้าคลั่งการเที่ยว เป็นเชื้อเพลิงในการเดินทางหรือเปล่า? หรือจริง ๆ มันเป็นความกลัวที่จะสูญเสียความคิดบางอย่างไป ถึงทำให้เธอต้องพยายามออกเดินทาง

ในที่สุดฉันก็สามารถหายใจได้เสียที

ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่าคนที่พูดประโยคข้างต้นออกมาไม่ได้กำลังกลั้นหายใจอยู่แต่อย่างใด ทว่ามันเป็นการเปรียบเปรยถึงความรู้สึกโล่งและสบายใจ ที่ว่าในที่สุดฉันก็สามารถปลดล็อกความรู้สึกบางอย่างได้สำเร็จต่างหาก มีอยู่ทริปหนึ่งที่พัคฮาคยองเดินทางไปเที่ยววัด ซึ่งเธอก็คงมีเป้าหมายเพื่อปลดพันธนาการบางอย่างทางจิตใจนั่นแหละ ระหว่างที่เธอกำลังต้องการความช่วยเหลือ เธอเดินพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่พกป้ายบางอย่างติดตัว เธอชูป้ายที่พกอยู่ให้พัคฮาคยองอ่าน ประมาณว่าตอนนี้เธอกำลังฝึกปฏิบัติ “ความเงียบอันสูงส่ง” อยู่ และเธอก็ “กำลังเผชิญกับตัวตนภายในของตัวเอง”

ภาพจาก IG: wavve.official

สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังฝึกอยู่ ก็น่าจะประมาณว่าพูดให้น้อยลง หรือพยายามไม่พูดอะไรถ้าไม่จำเป็น รวมไปถึงการจัดการกับตัวตนภายในของตัวเองให้ได้ หลังจากนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็หายไปจากฉากในวัด เรื่องราวดำเนินต่อไปว่าพัคฮาคยองมาทำอะไรที่วัดแห่งนี้ เธอแวะไหว้พระอย่างกระโดกกระเดก นั่งลงไปแล้วยืนขึ้นมาแบบที่เกือบจะทรงตัวไม่อยู่ แวะสวดมนต์กับพระและคนอื่น ๆ ในวัด แต่ก็ดันท้องร้องขึ้นมาจนต้องไปหาอะไรกินที่โรงครัว ซึ่งเธอก็พบว่าอาหารรสชาติอร่อยกว่าที่เธอคิดไว้ จากนั้นก็มีคนเข้ามาสอนท่าโยคะในระหว่างรับประทานอาหารให้กับเธอ เพราะท่าทางที่เธอนั่งอยู่นั้นไม่ดีต่อสุขภาพหลังของเธอ

ภาพจาก IG: wavve.official

ระหว่างที่พัคฮาคยองกำลังเดินเล่นไปรอบ ๆ วัดเพื่อดูนั่นดูนี่ คนที่สอนโยคะให้เธอเมื่อครู่ก็เดินเข้ามาสอนวิธีฝึกจิตใจให้กับเธออีก พอคิดว่าหลุดออกมาได้แล้ว เธอกลับหันไปเจอกับพยานที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาเป็นนักเขียนที่ทางวัดอนุญาตให้เข้ามาพักโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะคาดหวังว่าเขาจะเขียนงานอะไรบางอย่างระหว่างอยู่วัดออกมาบ้าง เธอจึงต้องเข้าไปคุยเขาตามมารยาท ก่อนที่เขาจะชวนเธอไปดื่มชา และในที่สุดเธอก็ได้ไปเข้าคอร์สฝึกสมาธิ คอร์สฝึกดังกล่าว เธอไม่ได้อะไรเลย เพราะทุกครั้งที่พยายามจะจดจ่ออยู่กับลมหายใจ เธอเอาแต่นึกถึงเรื่องอื่น ๆ ระหว่างที่เข้ามาในวัด ไม่ว่าจะเป็นชื่อของชารสชาติดีที่เพิ่งดื่มมา อาหารสุดอร่อยของวัด และความโมโหตอนที่เดินทางมาถึงวัด

ภาพจาก IG: wavve.official

เธอรู้ตัวว่านั่งฝึกต่อไปก็เท่านั้น เธอเลยเดินออกมาเพื่อหาวิธีสงบจิตสงบใจในแบบของเธอเอง จนเธอได้พบกับผู้หญิงที่ฝึกความเงียบอีกครั้ง พัคฮาคยองเดินตามเธอไปทั่ววัดในเส้นทางที่เธอกำลังฝึกจิตใจตัวเองอยู่ ผู้หญิง 2 คนออกเดินทางเข้าไปในป่า ชิมผลไม้นั่นนี่ ในขณะเดียวกันก็ปล่อยให้ความงามของธรรมชาติโอบล้อมพวกเธอไว้ ชมนกชมไม้ ฟังเสียงนกร้องไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ทั้งคู่เดินมาถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก มันเป็นความงดงามของธรรมชาติที่ชวนตะลึง และในที่สุด ผู้หญิงคนนั้นก็พูดออกมาว่าในที่สุดเธอก็สามารถ “หายใจ” ได้เสียที ทั้งที่เธอเอาแต่เงียบไม่พูดอะไรเลย และใช้มือชี้โบ๊ชี้เบ๊ตลอดทั้งวัน แต่พัคฮาคยองเข้าใจความหมายทันที

ภาพจาก IG: wavve.official

คนเรามีวิธีที่จะปลดล็อกพันธนาการทางจิตใจแตกต่างกัน บางทีการหันหน้าเข้าหาศาสนาอาจไม่ใช่หนทางที่เป็นที่สุดในการจัดการกับความไม่สงบทางจิตใจ จะเห็นว่าพัคฮาคยองแค่เป็นคนชอบเที่ยวที่นั่นที่นี่ และชอบลองทำอะไรต่ออะไรไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม การฝึกจิตใจตามวิธีของศาสนากลับไม่ช่วยให้เธอสงบหรือมีสมาธิได้แม้แต่น้อย ทั้งที่เธอศรัทธาในพระพุทธเจ้า ในทางกลับกัน การออกเดินทางในความเงียบกับเพื่อนร่วมทางที่เพิ่งรู้จักกัน แถมผู้หญิงคนนั้นยังไม่สามารถใช้วิธีการพูดเพื่อสื่อสารกับใครได้ กลับทำให้ผู้หญิงทั้งสองคนได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในช่วงเวลาสั้น ๆ พัคฮาคยองที่มาเที่ยววัดและทำอะไรตามคนอื่นเพียงเพราะเห็นว่าเขาทำและเขาให้เธอทำ เธอไม่แสดงรอยยิ้มเลย จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงพูดจากผู้หญิงที่เงียบใส่เธอมาตลอด การเดินทางเข้าป่าดูจะปลดล็อกอะไรในใจของทั้งคู่

ฉันจะแก่ไปแบบนี้น่ะเหรอ?

การออกเดินทางในทุก ๆ วันเสาร์ของพัคฮาคยอง ไม่ใช่แค่การเปิดประสบการณ์ให้ตัวเองได้ออกไปเจออะไรใหม่ ๆ ที่แตกต่างจาก 6 วันที่เหลือในสัปดาห์ แต่บางครั้งการเดินทางของเธอก็ทำให้เธอนึกถึงประสบการณ์เก่า ๆ ที่ตัวเองเคยผ่านมาเหมือนกัน และยังทำให้เธอได้ตระหนักถึงอะไรบางอย่างที่เธออาจจะกำลังละเลย เพราะในทริปหนึ่ง เธอได้เดินทางไปเที่ยวทะเลที่พ่อแม่ของเธอเคยพามาเมื่อตอนเด็ก ๆ เธอพบว่าอะไรหลาย ๆ อย่างมันเปลี่ยนแปลงไปมากจากในความทรงจำ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิม ซึ่งก็คือชายหาดที่เธอกำลังนั่งระลึกความหลังอยู่

ภาพจาก IG: wavve.official

เธอจำได้ว่าครั้งแรกที่พ่อแม่พาไปเที่ยวทะเล มันเป็นทริปเที่ยวครั้งแรกหลังจากที่พลาดการเที่ยวในช่วงฤดูร้อนครั้งอื่น ๆ เธอรู้สึกตื่นเต้นและวิ่งไปรอบ ๆ ชายหาดเหมือนลูกหมา ความสนุกและความสุขทำให้เธอจำช่วงเวลาตอนที่เดินทางกลับบ้านไม่ได้ ครอบครัวของเธอสัญญากันว่าจะมาเที่ยวพักผ่อนกันให้บ่อยขึ้น แต่พ่อของเธอก็กลับงานยุ่งมากขึ้น เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจระดับประเทศในเวลานั้น ทำให้การเที่ยวครั้งนั้นเป็นการเที่ยวทริปครอบครัวครั้งสุดท้ายไปเลย และเธอก็จำได้ดีว่าชีวิตหลังจากนั้นของเธอเหมือนอยู่ท่ามกลางม่านหมอก เป็นเรื่องยากที่กว่าจะผ่านมาแต่ละวัน

แต่พวกเด็ก ๆ กลับไม่รู้เลยว่าพ่อแม่ต้องฟันฝ่าอะไรมาบ้าง ถึงอย่างนั้น เวลานี้เธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว และกำลังประสบกับปัญหาต่าง ๆ แบบที่ช่วงวัยของพ่อแม่เธอเคยเป็น ในขณะเดียวกัน เธอก็ยังพบว่าตัวเองต้องดิ้นรนกับทุกวันที่ผ่านไปอยู่ดี มันจึงกลายเป็นคำถามที่เธอถามตัวเองว่า “ฉันจะแก่ไปแบบนี้น่ะเหรอ?”

ภาพจาก IG: wavve.official

ดูเหมือนว่าเวลานี้เธอจะเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วว่า ช่วงเวลานั้นพ่อแม่ของเธอทำอะไรอยู่ในระหว่างที่เธออยากจะไปเที่ยวทริปครอบครัว พวกท่านต้องทำงานหนักแค่ไหนเพื่อให้ทุกชีวิตสามารถผ่านช่วงวิกฤติไปให้ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่เธอที่เข้าใจพ่อแม่ แต่เวลานี้พ่อแม่ที่แก่ตัวลงและอยู่บ้านก็เข้าใจดีว่าลูกสาวก็กำลังดิ้นรนมีชีวิตในแต่ละวันอยู่เหมือนกัน ซึ่งส่วนนี้ซีรีส์ถ่ายทอดออกมาผ่านการติดต่อกันระหว่างพ่อและลูกสาว ที่จู่ ๆ อินเทอร์เน็ตที่บ้านพ่อก็ใช้งานไม่ได้ พ่อโทรหาลูกสาวที่ทำงานอยู่ในเมืองหลวงเพื่อถามปัญหา เธอเองกำลังเตรียมจะเข้าคาบสอนจึงไม่ค่อยสะดวกคุย และหลังจากนั้นก็มีช่วงที่ทั้งคู่วิดีโอคอลหากัน โดยที่พ่อถือกล้องไปถ่ายที่กล่องอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แต่ดูไปดูมาเธอก็ไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร จึงได้โทรตามช่างให้เข้าไปดูอินเทอร์เน็ตที่บ้านพ่อ

ในวันเสาร์ที่เธอออกเที่ยวตามปกติ (ที่ไปทะเล) เธอดันบังเอิญไปมีปากเสียงกับคุณลุงคนหนึ่ง เกี่ยวกับการแสดงความเห็นเรื่องการบ้านการเมืองในทีวี จะว่าไปลุงคนนั้นก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเธอ ทั้งคู่ทะเลาะกันค่อนข้างแรง แต่ก็โดยสารรถบัสคันเดียวกันกลับโซล ระหว่างนั้น พ่อของเธอส่งข้อความมาถามว่าช่างซ่อมอินเทอร์เน็ตจะเข้ามาเมื่อไร พร้อมกับลงท้ายด้วยข้อความที่ทำให้เธอต้องนั่งร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียวว่า “ขอโทษนะที่ต้องรบกวนแก”

ภาพจาก IG: wavve.official

และหลังจากนั้น เธอก็เห็นว่าลุงคนที่เธอทะเลาะด้วยก่อนขึ้นรถโดยสาร กำลังคุยวิดีโอคอลกับหลาน ๆ ที่พวกเขาเดินทางมาเยี่ยมอย่างมีความสุข เธอเริ่มตระหนักถึงคำว่า “ครอบครัว” มากกว่าเดิม ตัวเธอไม่มีครอบครัวไม่มีลูก แต่เธอคือลูกสาวของพ่อแม่ ก่อนที่จะจากกับลุงคนแปลกหน้าที่จริง ๆ ก็คงเจอกันแค่ครั้งเดียว เธอเข้าไปขอโทษที่ทำตัวหยาบคายกับผู้ใหญ่ ลุงให้อภัย พร้อมทั้งให้ขนมที่ตั้งใจจะซื้อไปฝากหลานกับเธอมา ก่อนที่เธอจะกลับที่พักด้วยความรู้สึกที่ปลดล็อกทุกอย่างจบใน 1 วัน

ความประทับใจต่อจากนั้น ระหว่างที่เธอกำลังกินขนมกับเครื่องดื่ม พ่อส่งข้อความมาบอกว่าตอนนี้ใช้อินเทอร์เน็ตได้แล้ว แถมยังเร็วปรื๋อ แม่ชอบมาก “ขอบคุณ” แทนที่จะอ่านข้อความเฉย ๆ แต่เหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เธอตระหนักได้ในวันนี้ ทำให้ตัดสินใจโทรหาพ่อแม่ ติดต่อหาครอบครัวที่เธอมีพวกเขาอยู่แค่ 2 คน พูดคุยกันแบบได้ยินเสียงของกันและกัน ต่อให้เธอจะต้อง “แก่ไปแบบนี้” แต่เธอก็ยังรู้สึกดีที่เธอจะเป็นคนแก่ที่ยังคิดอะไรต่ออะไรได้ และรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องพยายามถนอมมันไว้ให้ดีที่สุด

ภาพจาก IG: wavve.official

ต้องบอกว่าซีรีส์สั้นที่มีพล็อตลักษณะนี้ ถ้าคนชอบก็คือชอบเลย แต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่ชอบเลยเหมือนกัน เพราะเรื่องมันไม่ได้มีอะไรหวือหวาน่าลุ้น แต่จะเล่าไปตามความคิดและความรู้สึกของตัวละครหลักเท่านั้น แน่นอนว่ามันก็จะมีแค่มุมมองของตัวละครหลักเพียงตัวเดียวที่เราจะได้ติดตามทั้งหมดว่าเธอคิดเธอทำอะไร ถึงจะเป็นมุมมองของตัวละครเพียงคนเดียว แต่เป็นตัวละครที่มีความคิดเติบโตขึ้นทุกครั้งหลังจากที่ได้ออกเดินทางไปเจอเรื่องราวต่าง ๆ มา มันก็ดูเพลิน ๆ ดีเหมือนกัน ความยาว 25 นาทีคือแป๊บเดียวเอง ไม่มีอะไรให้เครียดตาม และที่สำคัญ ได้เก็บเกี่ยวอะไรดี ๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตกลับมาด้วย เพราะทุกการเดินทางย่อมมีเรื่องราวดี ๆ แบะประสบการณ์ล้ำค่าเสมอ🎒