The Auditors ทีมที่จริงจังแบบนี้มีจริงไหม? อยากเชิญมาตรวจสอบแถว ๆ นี้

ภาพจาก viu

ผ่านพ้นครึ่งปีแรกไปแบบที่มีซีรีส์สนุก ๆ มากมายให้ติดตามต่อจนจบ แต่ส่วนตัวไม่ค่อยจะมีเวลาตามดูเท่าไรนัก ตอนว่าง ๆ เปิดดูก็ดันหลับใส่เพราะเหนื่อยเพราะเพลีย เลยไร้แพชชั่นในการดูซีรีส์ให้จบไปหลายเรื่องเลย ส่วนมากจะใช้วิธีปักหมุดไว้ว่าเรื่องไหนเทแล้วเทเลย แล้วเรื่องไหนเดี๋ยวมาตามดูต่อ ขอฮีลตัวเองให้มีแพชชั่นก่อนเดี๋ยวกลับมาใหม่!

แต่ล่าสุด ดันมาเจอซีรีส์เรื่องใหม่ที่น่าจะปลุกแพชชั่นการดูซีรีส์ขึ้นมาได้ (อีกเรื่องหนึ่ง) เอางี้! คือตอนที่เปิดดูแรก ๆ น่ะก็นอนดูเพลิน ๆ เหมือนซีรีส์เรื่องอื่นนั่นแหละ แต่ช่วงกลาง ๆ ตอนของ ep.1 จู่ ๆ ก็ต้องผุดลุกขึ้นมานั่งดูดี ๆ เพราะมันชวนลุ้นตามอย่างมาก ที่สำคัญผ่านไป 2 ตอน มีแต่เนื้อเน้น ๆ ไม่มีน้ำเลย เดินเรื่องไว ทิ้งปริศนาชวนเอ๊ะไว้ให้ตามต่อ แล้วแบบรุ่นใหญ่เขาทำถึงอะ เรื่องนักแสดงเรื่องคาแรกเตอร์ของแต่ละคนคือลอยลำหมดห่วง แถมยังเป็นซีรีส์ฟีลที่ไม่มีพระเอก-นางเอก ไม่มีเลิฟไลน์ก็ชวนดู แค่จังหวะจะโคนการเล่าเรื่องแบบที่ทำอยู่ก็น่าดูแล้ว ใครกำลังหาซีรีส์เดือด ๆ ดูแก้เหงา แก้อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ขอเสนอเรื่องนี้เป็นตัวเลือก!

ภาพจาก FB: tvN

The Auditors หรือชื่อไทยเฟี้ยว ๆ ตามแบบฉบับของ viu ว่า ออดิตปิดคอร์รัปชัน เป็นซีรีส์ที่จะพาเราทุกคนไปสำรวจโลกของผู้ตรวจสอบภายในที่ทำงานไม่ต่างจากนักสืบ ไล่บี้คนผิด สืบสาวหาความจริงเบื้องหลังเกี่ยวกับการทุจริตเหมือนเป็นตำรวจสายสืบที่กำลังสืบคดี แค่ว่าไม่ได้เป็นคนจับกุมหรือจับใส่กุญแจมือแค่นั้น ตัวละครหลัก ๆ มี 2 คน คนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมผู้ตรวจสอบคนใหม่ในบริษัทก่อสร้าง JU เขาเป็นคนทำงานแบบมืออาชีพ เป็นตัวตึง ถ้าเขาหมายหัวใครเป็นเป้าหมายแล้ว คนผู้นั้นไม่มีทางรอด ทำตัววาร์ปไปวาร์ปมา เปลี่ยนบริษัทที่ทำงานเป็นว่าเล่น เขาไม่ได้โดนไล่ออก แต่เพราะว่าเขา “จับหนู” ที่กัดแทะเสาของบริษัทได้แล้ว ก็ถือว่าจบภารกิจที่บริษัทนั้น

ภาพจาก FB: tvN

กับตัวละครอีกคน เขาเป็นพนักงานน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานในทีมผู้ตรวจสอบได้เพียง 6 เดือน เขาเองถือว่าเป็นรุ่นพี่ที่เข้ามาทำงานในบริษัทก่อสร้างแห่งนี้ก่อนหัวหน้าทีมคนใหม่ แต่บุคลิกของเขาเป็นชายหนุ่มไร้เดียงสา มองโลกในแง่ดีเขาขั้นโลกสวย นั่นเป็นเพราะว่าเขาได้รับอิทธิพลมาจากพ่อแม่ที่มีจิตใจดี แต่การมองโลกในแง่ดีของเขานั่นแหละที่เป็นภัยต่ออาชีพที่ต้องตรวจสอบผู้คนของเขา การเชื่อใจคนเพราะเห็นแก่มิตรภาพเป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างมาก แต่การได้มาจับคู่เป็นคู่หูของหัวหน้าทีมคนใหม่ จะทำให้โลกของเขาเปลี่ยนไป ได้รู้ว่าการทำงานแบบมืออาชีพ มันต้องทำอย่างไร

เงินมันก็กลับไปอยู่เหมือนเดิมแล้วไงครับ ผมก็แค่ขอยืมบริษัทแป๊บเดียว 

ตรรกะแบบนี้ ก็สมแล้วล่ะที่จะโดนสวนกลับมาว่า “บริษัทไม่ใช่ธนาคารครับ” เล่าเรื่องคร่าว ๆ ก็คือหัวหน้าฝ่ายการเงินของบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง ถูกหัวหน้าทีมฝ่ายตรวจสอบบุกไปสอยถึงห้องทำงาน กรณีที่ยักยอกเงินบริษัทไปจำนวน 20 ล้านวอน ทีแรกเขาก็ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่พอจำนนด้วยหลักฐาน เขาก็อ้างว่าแค่ “ขอยืมไปใช้ก่อน” เพื่อนำไปเป็นค่ารักษาพยาบาลให้ตัวเอง พอเดือนต่อมาเขาก็นำเงินส่วนนี้กลับมาคืนบริษัทเหมือนเดิม เขาคิดว่าคงไม่เป็นไรเพราะเอาเงินส่วนนั้นกลับมาคืนแล้ว แต่การยักยอกมันก็คือการโกงนั่นแหละ มันคือการกระทำความผิด ถึงแม้ว่าจะยักยอกไปแบบ “ขอยืม” ก่อนแล้วเอามาคืนทีหลัง ไม่ว่าจะด้วยเหตุจำเป็นอะไรก็ตาม แต่ผิดก็คือผิด

ภาพจาก FB: tvN

ถ้าจะถามว่าทำไมหัวหน้าทีมฝ่ายตรวจสอบถึงไม่ยอมหยวน ๆ ให้ แบบว่ายอมปิดตาข้างหนึ่ง แล้วให้โอกาสหัวหน้าฝ่ายการเงินได้ทำงานอยู่ในบริษัทนี้ต่อ ก็นะ สาเหตุที่เขานำเงินก้อนนี้ไปใช้ก่อนมันก็จำเป็นจริง ๆ ที่สำคัญ เงินส่วนนั้นก็ถูกนำมาคืนที่เดิมแล้ว นี่คิดว่าเป็นเพราะหัวหน้าทีมฝ่ายตรวจสอบรู้ดีว่าการกระทำในลักษณะนี้น่ะ ถ้ามีครั้งแรก มันก็ต้องมีครั้งที่สอง และเมื่อไรที่มีครั้งที่สอง มันก็ย่อมมีครั้งต่อ ๆ ไปตามมาแน่นอน แล้วการตามมาในครั้งที่สองนี่แหละที่มันน่ากลัวที่สุด มันอาจจะกลายเป็นจุดหักเหที่เปลี่ยนคนธรรมดาเทา ๆ ให้กลายเป็นคนไม่ดีแบบสีดำเลยก็ได้

ในเมื่อครั้งแรกทำผิดแล้วรอด คนทำผิดจะชะล่าใจว่าทำได้ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลยนี่นา ทั้งเรื่องที่ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองเอาเงินมาใช้ก่อนแล้วก็คืนทันทีที่มีคืน รวมถึงเรื่องที่ว่าถ้าฉันคืนเงินช้ากว่านี้หรือไม่คืนล่ะ ยักยอกเข้ากระเป๋าตัวเองไปเลยเฉย ๆ ก็คงไม่มีใครรู้เช่นกัน ความคิดแบบนี้ จะทำให้ในครั้งต่อ ๆ ไป การคืนเงินส่วนนี้มันจะเริ่มทิ้งช่วงนานขึ้น หรืออาจจะไม่คืนเลยก็ได้ แล้วเรื่องเงินเนี่ยมันเข้าใครออกใครที่ไหน เข้ากระเป๋าใครแล้วก็มีแต่จะอยากได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะทำต่อไปเรื่อย ๆ ครั้งแรกอาจจะตัดสินใจทำเพราะความจำเป็นก็จริง แต่ครั้งต่อ ๆ ไปอาจจะเริ่มทำเพราะความโลภกับกระหยิ่มใจก็ได้ กลายเป็นความเคยตัว และเป็นนิสัยขี้โกงในที่สุด แล้วก็จะมีคนมากมายได้รับความเสียหาย

ภาพจาก FB: tvN

นี่แหละ เขาถึงได้บอกว่าจุดเริ่มต้นนี่แหละที่สำคัญ แม้ว่าจุดแรกมันจะเป็นการทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูไม่น่าจะเรื่องใหญ่อะไร ทำเพราะความจำเป็น แต่มันก็นำไปสู่การทำผิดที่ใหญ่ขึ้นได้ และทำไปเพื่อสนองความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดของตัวเองด้วย การลักเล็กขโมยน้อย มันจะไม่จบแค่ครั้งแรกหรือสองครั้งแน่ในเมื่อคนมันเคยทำ ถ้ามีครั้งแรก มันก็จะมีครั้งต่อ ๆ ไปอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครพลาดทำผิดในครั้งแรกไปแล้ว การให้อภัย ให้โอกาสมันก็เรื่องหนึ่ง แต่เราจะต้องหยุดพฤติกรรมของเขาด้วยเช่นกัน หยุดไว้ที่ครั้งแรกเพียงครั้งเดียว อย่าให้มีครั้งต่อไปตามมา

หลักฐานคือ ผมเชื่อใจหัวหน้าคนงานครับ/ แต่ผมไม่เชื่อครับ

ฉากการประชุมงานกับหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบคนใหม่นี่ถือว่าเป็นฉากเดือดอีกฉากตั้งแต่เปิด ep.1 ยังไม่ถึงครึ่งตอนเลยด้วยซ้ำ (ต้องบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยฉากเดือดเลยน่าจะเหมาะกว่า ฉากการสอบสวนเรื่องการยักยอกเงินบริษัทในประเด็นที่แล้วนั่นแหละ) ประเด็นแรกคือ หัวหน้างานคนใหม่นี้ถูกตั้งแง่มาตั้งแต่ต้น เพราะเป็นหัวหน้าคนใหม่ที่บริษัทรับเข้ามาทำงานโดยการสรรหาจากภายนอก ไม่ใช่การเลื่อนคนเก่าที่ทำงานอยู่ในทีมขึ้นมาเป็นหัวหน้า ประเด็นนี้ทำให้คนในฝ่ายตรวจสอบไม่ค่อยจะพอใจอยู่แล้วยังมาเกิดประเด็นใหม่อีก เข้ามาทำงานวันแรก ก็ขุดเรื่องเก่าที่เขาจัดการกันจบไปแล้วขึ้นมาตรวจสอบใหม่ เลยเกิดการปะทะฝีปากกับลูกน้องในทีมที่ทำงานแบบชิล ๆ กันมานาน

ภาพจาก FB: tvN

นั่นแหละ! คนในทีมตรวจสอบทำงานชิล ๆ กันมานานเกินไป พอเจอหัวหน้าคนใหม่ที่เย็นชา เข้มงวด กระตือรือร้น และขยันขันแข็งในการทำงานเข้าไป หัวหน้าใหม่เลยกลายเป็นหัวหน้าจอมโหดที่ลูกน้องไม่ชอบขี้หน้าไปโดยปริยาย แล้วทีแรก ลูกน้องในทีมนี้ก็ไม่ได้สำเหนียกตัวเองด้วยว่าบกพร่องในการทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” กันขนาดไหน แม้แต่เรื่องปากท้องของตัวเองที่ต้องทนกินอาหารกลางวันคุณภาพต่ำไม่สมกับเงินที่จ่ายไป ยังไม่คิดจะตรวจสอบเลยว่ามีการทุจริตหรือเปล่า แถมยังโลกสวย คิดเองเออเองว่าแม่ครัวตั้งใจทำดีที่สุดแล้ว ให้พยายามทำความเข้าใจ จ่ายเงินแล้วก็กิน ๆ มันเข้าไปแบบนั้นก็พอ ไม่ต้องพยายามสงสัยอะไรทั้งนั้นอีก เฮ้อ! นี่มันหน้าที่นะพ่อคุณ!!!

และนั่นแหละ เพราะพนักงานใหม่โลกสวยใช้ฉันทาคติ หรือการอคติเพราะเห็นแก่มิตรภาพอันสวยงาม แล้วอ้างเรื่อง “ความเชื่อใจ” มาเป็นหลักฐานทั้งที่ตัวเองทำงานอยู่ฝ่ายตรวจสอบ ก็ต้องโดนเอ็ดไปตามระเบียบ การตรวจสอบมันจะตัดสินถูกผิดได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน มีพยายานเป็นตัวเป็นตน จับต้องได้ พิสูจน์ได้ ไม่ใช่อ้างความรู้สึกของตัวเองแล้วจะตัดสินได้ว่าคนนั้นไม่ผิดคนนี้ไม่ผิด เพราะดูแล้วเขาไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้ ไปคุยกับตำรวจ (ดี ๆ) หรือขึ้นศาลไปเล่าให้ผู้พิพากษาฟัง เขาไม่สนใจหรอกนะอะไรก็ตามที่ใช้ความรู้สึกมาเป็นตัวตัดสิน พอหนุ่มพนักงานใหม่บอกหัวหน้าไปว่าเชื่อใจหัวหน้าคนงาน ก็เลยโดนสวนกลับมาแบบเปรี้ยงแสกหน้าว่า “แต่ผมไม่เชื่อ”

ภาพจาก FB: tvN

การไว้ใจหรือเชื่อใจคนน่ะมันก็เรื่องหนึ่ง มีประดับตัวไว้มันก็ดี มันก็เป็นเรื่องของคุณธรรมน้ำมิตร ความรู้สึก และหัวใจ ว่ากันตามตรงมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียวหรอก แต่จะต้องไม่นำมันมาใช้เป็นบรรทัดฐานในการตัดสินการตรวจสอบ ตัวเองทำงานเป็นผู้ตรวจสอบ ต้องรู้สิว่าหลักฐานสำคัญขนาดไหน และมันจะเป็นสิ่งที่ช่วยพิสูจน์ได้ว่าใครผิดใครถูก การจะพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ในศาล ยังต้องไปหาพยาน หาหลักฐานมาอ้างเลย ทำตัวเป็นคนดีเฉย ๆ มันพิสูจน์ไม่ได้หรอก แล้วขนาดพยานหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันนั่นน่ะยังปลอมแปลงกันได้ นับประสาอะไรกับใจคนที่ยากแท้หยั่งถึง มีความซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก การเชื่อใจคนแบบไม่ลืมหูลืมตานี่แหละที่เปราะบางที่สุด

คุณต้องสงสัยคนและตรวจสอบทุกอย่าง ถึงจะจับหนูพวกนั้นได้

แต่จริง ๆ ก็เข้าใจได้แหละนะ ความคิดของพนักงานน้องใหม่ผู้อ่อนหัด อ่อนทั้งวัย อ่อนทั้งคุณวุฒิ อ่อนประสบการณ์ชีวิตและการทำงาน และอ่อนต่อโลกด้วย โลกสวย ใช้ความอ่อนโยนเข้าสู้ มองโลกในแง่ดีทุ่งลาเวนเดอร์สุด ๆ แถมยังเข้ามาทำงานอยู่ในทีมที่ไม่ค่อยจะจริงจัง อะไรควรตรวจสอบก็ไม่ตรวจสอบ ทำอะไรแบบชิล ๆ มาตั้งครึ่งค่อนปี (เห็นได้จากการที่เจอหัวหน้าทีมคนใหม่สั่งงานเยอะตั้งแต่วันแรกที่มาทำงาน แล้วก็พากันโอดครวญว่างานโหดทั้งทีม) แพชชั่นที่มีจึงยังไม่ค่อยจะได้ถูกนำไปใช้อย่างถูกที่ถูกทางเท่าที่ควร ที่สำคัญก็คือ ยังไม่เห็นว่าคนที่เขาทำงานอย่างมืออาชีพ เขาต้องทำงานด้วยทัศนคติแบบไหน และต้องวางอะไรลงบ้างเมื่อสวมหัวโขนการเป็นผู้ตรวจสอบเข้าไปแล้ว

ภาพจาก FB: tvN

ก็อย่างว่าแหละ ในสายตาของลูกน้องทุกคนรวมถึงพวกที่คดในข้องอในกระดูก ลักษณะการทำงานแบบหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบคนใหม่นี้ ใคร ๆ ก็เหม็นขี้หน้ากันทั้งนั้น เพราะเขาเป็นพวกมืออาชีพตัวตึง ตงฉิน ตรงไปตรงมา ไม่อ่อนข้อให้ใคร ทำงานอยู่ในที่สว่างแบบไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจมืดใด ๆ ทั้งสิ้น เช็กบิลหมดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ผู้บริหารระดับสูงยังโดนเลยทำเป็นเล่นไป แถมปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ติดลบ เย็นชา หยาบกระด้าง มีปัญหาเรื่องการไว้วางใจผู้อื่น และเข้มงวดมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาก็พยายามรักษาความสุภาพกับลูกน้องทุกคน โดยยังรักษาระยะห่างระหว่างตัวเองกับพวกเขาไว้ แบบนี้ก็ยิ่งดูไม่เป็นมิตรเข้าไปใหญ่ แต่ก็พอเดาออกว่าทำไมเขาถึงเป็นคนจริงจังขนาดนั้น

อย่างไรก็ตาม การที่หัวหน้าจอมโหดมาจับคู่เป็นคู่หูกับลูกน้องโลกสวย มันก็น่าจะทำให้ 2 คนนี้ได้เรียนรู้อะไรจากกันและกัน และค่อย ๆ ปลดล็อกปมบางอย่างในใจเพื่อเติบโตไปด้วยกัน หัวหน้าจอมโหดที่มีปมว่าต้องจัดการกับพวกที่ทุจริตการก่อสร้างให้สิ้นซาก เพราะมันทำให้คนทำงานเสี่ยงอันตรายและไม่ปลอดภัย ที่ผ่านมาเขาต้องใช้ชีวิตอย่างเหงา ๆ เพราะต้องสงสัยและระแวงทุกคน ความสดใสและการมองโลกในแง่ดีของลูกน้องน่าจะช่วยเยียวยาใจเขาได้บ้างว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อใจไม่ได้ ส่วนลูกน้องโลกสวย การเจอหัวหน้าตัวตึง จะทำให้เขาได้เรียนรู้โลกที่ไม่เคยได้สัมผัส เขาจะค่อย ๆ ได้เห็นการทุจริตของคนที่เขาไว้วางใจ และจะค่อย ๆ เติบโตขึ้นในที่สุดเหมือนกัน

ภาพจาก FB: tvN

ยังดีนะที่คนเขียนบทไม่ได้เขียนคาแรกเตอร์ของลูกน้องอ่อนหัดคนนี้ให้ดื้อหัวรั้นจนเกินไป แรก ๆ เขาเหมือนแก้วที่มีน้ำเกือบเต็ม มีความมั่นใจแบบผิด ๆ แต่ก็กระหายที่จะพิสูจน์ หลังผ่านเคสแรกไปแล้ว เขาเริ่มรู้ว่าใจคนมันน่ากลัว แก้วที่น้ำเกือบเต็มก็พร่องน้ำลงไปเยอะ จึงสามารถเติมน้ำลงไปได้โดยไม่ล้นออก เริ่มทำตัวเป็นแก้วว่างที่พร้อมให้เติมน้ำลงไป เพราะเขาได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่าการโลกสวยไปหมด เพิกเฉยต่อการทำหน้าที่หรือทำหน้าที่แบบหละหลวมมันส่งผลร้ายแรงแค่ไหน ฉากที่เขาดีใจที่ตัวเองมีส่วนช่วยให้การเปิดโปงคนผิดสำเร็จลุล่วง ฉากที่ขอโทษที่แอบเก็บหลักฐานสำคัญไว้ หรือฉากที่เข้ามาถามหัวหน้าเรื่องที่ตัวเองต้องย้ายแผนก มันแสดงให้เห็นว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว

บอกเลยว่าซีรีส์เรื่อง The Auditors เป็นซีรีส์ที่นี่ยกให้เป็นซีรีส์ม้ามืดอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้เลย ตามสูตรของซีรีส์เกาหลี จริง ๆ ก็พอเดาได้ว่ามันจะสนุกไปในรูปแบบไหน แต่พอมาดูจริง ๆ มันว้าวกว่าที่คิด มวลหนัก ๆ ของการตามลุ้นไปกับตัวละคร มันทำให้คนที่นอนดูเพลิน ๆ ต้องลุกขึ้นมานั่งดูดี ๆ ได้เลย ประเด็นเรื่องการเปิดโปงการทุจริตในองค์กรว่าน่าสนใจแล้ว ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือการใบ้ปริศนาสำคัญของเรื่องมาให้เลยทั้งที่เพิ่งปล่อยเรื่องมาแค่ 2 ตอนเท่านั้น ยิ่งกับตัวละครประเภท too good to be true ส่วนตัวเชื่อว่ามีสับขาหลอกคนดูแน่นอน คนที่ดูร้ายโต้ง ๆ ร้ายให้เห็นกันจะ ๆ เนี่ยไม่มีอะไรหรอก แต่ตัวละครที่ “ดู” เป็นคนดีนี่สิ น่าจะเป็นลาสบอสตัวจริงมากกว่า

ทิ้งท้ายไว้แบบไม่ต้องเชื่อก็ได้นะ อยากให้ไปตามดูเอาเองมากกว่า ที่น่าสนใจก็คือตัวเรื่องเหมือนจะใบ้ ๆ มาให้แล้วไง จากการทำงานคู่กันของหัวหน้าทีมคนใหม่และพนักงานน้องใหม่ ที่เตือนกันว่าอย่าใช้ความรู้สึกที่ว่า “เขาน่าจะเป็นคนดี” มาตัดสินง่าย ๆ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ต้องสงสัยและตรวจสอบทุกอย่าง และอย่าเพิ่งเชื่อหมดใจในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เห็นทั้งหมด เพราะสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ถึงครึ่งของความเป็นจริงด้วยซ้ำไป ✖✔