สัปดาห์นี้อาจจะดูแปลกไปสักหน่อยสำหรับคอลัมน์ชะนีติดซีรีส์ ที่ปกติเขียนซีรีส์คนแสดงอยู่ดี ๆ บินไปกลับเกาหลีบ้าง ไทยบ้าง แต่ไหงวันนี้มันถึงกลายเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นไปได้ จะบอกว่าความเป็นมาไม่ได้มีอะไรมาก คือเมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสไปนิทรรศการสตูดิโอจิบลิมา ก็เลยยังอิน ๆ อยู่กับแอนิเมชันนิดหน่อย แถมอีกนิดก็คืออนิเมะซีรีส์ในสัปดาห์นี้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ “แมว” เห็นหลายคนหลายเพจมารีวิวไว้ในเฟซบุ๊กแล้วมันดูน่าสนใจดี ก็เลยอยากลองดูบ้าง แล้วพอดูแล้วมันก็เกิดมีประเด็นที่น่าเอามาเขียนดูเหมือนกัน ก็เลยจัดเลย
The Masterful Cat is Depressed Again Today มีชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า Dekiru Neko wa Kyou mo Yuuutsu ส่วนภาษาไทยก็คือ เรื่องน่ากลุ้มของเจ้าเหมียวผู้สามารถ เดิมเป็นมังงะญี่ปุ่นจำนวน 7 เล่ม ที่นำมาทำเป็นเวอร์ชันอนิเมะซีรีส์ออกฉายทางโทรทัศน์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละคร 2 ตัว คือ “ซากุ” สาวออฟฟิศที่มีชีวิตแสนเพลียคนหนึ่ง กับ “ยูคิจิ” แมวยักษ์ที่เธอเลี้ยงเอาไว้ (ดูมา 4 ตอนยังสงสัยอยู่ว่าตกลงใครเลี้ยงใครกันแน่)

อย่างไรก็ตาม ยูคิจิไม่ใช่แมวธรรมดา ไม่เพียงแต่น้องจะเป็นแมวยักษ์ที่ตัวใหญ่โตกว่าแมวธรรมดาหลายเท่าแล้ว แต่น้องยังเป็นแมวที่ทำอะไรต่ออะไรที่แมวทั่ว ๆ ไปเขาไม่ทำกัน โดยเฉพาะหน้าที่หลัก ๆ ของน้องก็คือ “เลี้ยงเจ้าของ” ของตัวเอง เลี้ยงที่แปลว่าเลี้ยงจริง ๆ ทำกับข้าวให้กิน ทำความสะอาดบ้านให้ ลากไปนอนที่ห้องนอน กล่อมให้นอน หายาให้กินตอนไม่สบาย ในขณะที่เจ้าของแมวยักษ์อย่าซากุก็กลายเป็นมนุษย์ที่แม้แต่แมวยังเอือมระอา จนออกปากบ่นว่า “เป็นมนุษย์ที่ไม่ได้เรื่อง” ทำกับข้าวก็ไม่เป็น ชอบทำให้บ้านกลายเป็นกองขยะ รวมถึงสงสัยด้วยว่าบริษัทยอมจ้างคนไม่ได้เรื่องแบบนี้เป็นพนักงานได้ยังไง เพราะเธอเอาแต่บ่นว่าอยากหยุดงาน ไม่ก็อยากลาออกนั่นเอง
ถ้าอยู่คนเดียวแล้วเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่ที่เขาบอกกันว่าจะแต่งงานไม่ได้เหรอคะ
เอาล่ะ! ซากุของฉันซวยแล้วไง เพราะหล่อนจะไม่ได้แต่งงาน 555 คือมันเป็นเรื่องที่ออกจะเป็นภาพจำอยู่ไม่น้อยนะ คนโสดที่อยู่คนเดียวแล้วเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ที่ดูจะมีแนวโน้มว่าจะไม่ได้แต่งงานเนี่ย ถ้าจะถามว่าเพราะอะไร? ก็เพราะว่าคนพวกนี้แทบจะไม่มีเวลาได้ไปชายตามองคนที่จะเข้ามาเป็นว่าที่คนรักของตัวเองเลยไง คือนอกจากเวลาที่คนเหล่านี้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่ว ๆ ไป อย่างชีวิตประจำวันปกติและออกไปทำงานแล้ว คนเหล่านี้จะออกไปเที่ยวหรือพบปะกับผู้คนใหม่ ๆ น้อยมาก เงินหมดก็ส่วนหนึ่ง (เพราะเปย์ลูก ๆ หมด) แต่อีกเหตุผลก็คือเป็นห่วงและสงสารลูก ไม่อยากทิ้งให้อยู่ตามลำพังนาน ๆ
พูดก็พูดเถอะ คนโสดที่อยู่คนเดียวแล้วเลี้ยงหมาแมวไว้ที่บ้านที่บ้านน่ะ เวลาออกมาทำงานก็เท่ากับทิ้งให้น้อง ๆ อยู่บ้านตามลำพัง หลายคนคิดถึงและเป็นห่วงเด็ก ๆ ก็เลยติดกล้องวงจรปิดไว้แอบดูสัตว์เลี้ยงของตัวเองเวลาว่าง แต่แท้จริงแล้วก็คือแอบส่องดูแล้วคุยกับมันทั้งวี่ทั้งวันมากกว่า แล้วสัตว์เลี้ยงที่ได้ยินเสียงเจ้าของออกมาจากตรงนี้บ่อย ๆ มันก็จะมาป้วนเปี้ยนแถว ๆ กล้องเพื่อรอฟังเสียงเจ้าของ ที่สำคัญ สัตว์พวกนี้น่ะฉลาดนะ เหมือนมันจะรู้เวลากลับบ้านของมนุษย์ด้วย พอใกล้ ๆ ถึงเวลา มันจะไปนั่งรออยู่แถว ๆ หน้าประตู เพื่อที่มนุษย์เปิดประตูมาจะได้เจอมันก่อนเป็นตัวแรก การที่มนุษย์ส่องกล้องแล้วเห็นว่าหมาแมวไปนั่งรออยู่หน้าประตู พวกเขาจะรีบกลับทันทีโดยไม่แวะที่ไหนเลย
ก็แล้วการที่เลิกงานปุ๊บกลับบ้านปั๊บ แล้วใจจดจ่ออยู่แค่กับหมาแมวที่นั่งรออยู่หน้าประตูบ้าน ใครมันจะไปมีอารมณ์สนใจผู้คนรอบข้างที่อาจจะเป็นเนื้อคู่แฝงตัวมาอยู่ใกล้ ๆ ล่ะจริงไหม วันหยุดก็ไม่เที่ยว ไม่ไปไหนถ้าไม่จำเป็น อยู่แต่บ้าน พระเจ้าก็ไม่รู้จะส่งเนื้อคู่ไปให้ทางไหนดีเหมือนกัน เลยกลายเป็นคนพวกนี้เลยกลายเป็นคนโสดกันไปยาว ๆ โดยปริยาย เพราะไม่มีโอกาสได้ออกไปพบปะหรือเจอใครเลย
ทว่าอันที่จริง คนเหล่านี้ก็ดูจะไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับการที่ตัวเองต้องอยู่เป็นโสดหรือจะไม่ได้แต่งงานเท่าไรหรอกนะ อาจด้วยเพราะจำนวนไม่น้อยเป็นคนรุ่นใหม่ที่ยึดเทรนด์ Pet Humanization หรือก็คือการปฏิบัติต่อสัตว์เลี้ยงเป็น “สมาชิกในครอบครัว” โดยที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงก็ไม่ได้มองว่าตัวเองคือเจ้าของ แต่สถาปนาตัวเองเป็น “พ่อ/แม่” ของสัตว์เลี้ยงมากกว่า (Pet Parents) ซึ่งนับวันก็มีคนหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงโดยเลี้ยงเป็นลูกของตัวเองมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังมีเทรนด์คนโสด (Marriage Strike) หรือเทรนด์คู่รักไม่มีลูก (DINK) เข้ามาพ่วงร่วมด้วย ทำให้การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นลูกโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีลูกเอง หรือไม่จำเป็นต้องหาพ่อ/แม่ให้มัน กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
หากมนุษย์ผู้นี้ไม่เก็บข้ามาเลี้ยงล่ะก็ ในตอนนี้ตัวข้า…คงไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว
นี่เป็นคนหนึ่งที่เชื่อมาตลอดว่าสัตว์จรจัดทุกตัวที่ชีวิตเปลี่ยนเพราะมีมนุษย์ใจดีเก็บมันมาเลี้ยง ก็น่าจะรู้สึกขอบคุณเหล่ามนุษย์อยู่ไม่น้อยเหมือนกันนั่นแหละ แม้ว่าบางตัวปกติจะชอบทำหยิ่งจองหอง มองเหยียดหยันมนุษย์ว่าเป็นนังทาสก็เถอะ 555 คือแบบว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดก็คงจะมีรูปแบบในการแสดงความขอบคุณในแบบของมัน ที่ในที่สุดแล้วมนุษย์ก็น่าจะสัมผัสได้ว่าน้อง ๆ กำลังรู้สึกขอบคุณ (แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม) แน่นอนว่ามนุษย์คงไม่ได้สัมผัสความรู้สึกขอบคุณที่ว่านั่นได้ตลอดหรอก เพราะส่วนมากพวกแก๊งจรพวกนี้จะถนัดทำให้มนุษย์รู้สึกว่า “ตอนนั้นกำพร้า ตอนนี้กำแหง” ซะมากกว่า
สาเหตุที่เชื่อว่าพวกสัตว์จรเหล่านั้นน่าจะรู้สึกขอบคุณมนุษย์อยู่ลึก ๆ ก็เพราะพวกมันก็น่าจะรับรู้ได้ไม่มากก็น้อยเหมือนกันว่าชีวิตของพวกมันเปลี่ยนไป ชีวิตของพวกสัตว์จรเปลี่ยนไปมากจริง ๆ นะ นับตั้งแต่วันที่มนุษย์อุ้มกลับบ้าน จากที่เคยต้องโซซัดโซเซอยู่ข้างถนน กินแต่เศษอาหารเน่า ๆ ตามถังขยะ วิ่งไปวิ่งมาก็โดนรถเฉี่ยวชน หรือบ้างก็ถูกมนุษย์ใจร้ายบางจำพวกคอยแกล้งคอยรังแก แต่ในวันนี้พวกมันมีคนคอยให้ข้าว ให้น้ำ มีบ้าน มีคนให้ความอบอุ่น รวมถึงประเคนทุกสิ่งอย่างให้เท่าที่จะหามาให้ได้ บางบ้านมีอาหารให้กินแบบบุฟเฟต์ หิวเมื่อไรก็แวะกิน และหลาย ๆ บ้านนะ พวกอดีตหมาแมวจรเนี่ย ได้กินของดีกว่าคนที่เก็บมาเลี้ยงซะอีกนะจะบอกให้
กลับมาที่ซีรีส์อนิเมะเรื่องนี้ ยูคิจิซึ่งเป็นอดีตแมวจรผู้อ่อนแรง อาศัยที่ม้านั่งในสวนสาธารณะเป็นที่หลบภัยนอน วันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่หิมะตกผิดฤดู มันก็ได้เจอกับซากุ สาวออฟฟิศผู้ใช้ชีวิตไม่ได้เรื่องที่ชวนมันมาอยู่ที่บ้าน ยูคิจิรู้สึกขอบคุณซากุมาก ประกอบกับการที่ยูคิจิไม่ใช่แมวธรรมดา มันจึงตัดสินใจที่จะใช้สติปัญญา ความสามารถ และทักษะอันมากล้นที่ได้รับประทานพรมาจนกลายเป็นแมวผู้สามารถ ดูแล “มนุษย์ไม่ได้เรื่อง” ผู้นี้ เพื่อตอบแทนที่เธอช่วยให้มันยังได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป ซึ่งถ้าหากเธอไม่เก็บมันมา มันอาจจะตายไปแล้ว
ยูคิจิจึงทำทุกอย่างที่แมวปกติเขาไม่ทำกัน เช่น เดินสองขาสวมผ้ากันเปื้อนทั้งวัน ทำอาหารให้ซากุกินทุกมื้อ (ทำข้าวกล่องให้ไปกินที่ออฟฟิศด้วย) ทำงานบ้านทุกอย่าง เอาขยะไปทิ้ง ออกไปซื้อกับข้าว เย็บผ้ากันเปื้อนและชุดกันขนร่วงใส่เองเวลาออกไปซูเปอร์มาร์เก็ต ฟังพยากรณ์อากาศแล้วบอกให้ซากุพกร่ม เช็กอุณหภูมิในอ่างอาบน้ำ ลากซากุที่เมามายไปนอนที่ห้องนอน วัดไข้ตอนซากุไม่สบาย หายาให้ซากุกิน บังคับให้เธอนอนพักผ่อน หรือแม้แต่เสื้อผ้าชุดสวยที่ซากุยัดร่างตัวเองใส่เข้าไปไม่ได้ ยูคิจิก็ยังเอามาแก้ให้ ตัดเย็บให้ซะสวย ฯลฯ ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อ “อาหารแมวกระป๋อง” ในวันพรุ่งนี้ (อ้าว ฮ่า ๆ) หลอก ๆ มันเห็นว่าเธอเป็นคนไม่เอาไหนนั่นแหละ เลยดูแลเธอเป็นอย่างดี
สัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการปัจจัยพื้นฐานอย่างมนุษย์เรานี่แหละ แม้ว่าธรรมชาติของมันอาจจะไม่ได้ต้องการบ้างหลังใหญ่โตสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่จำเป็นต้องสวมใส่เครื่องนุ่งห่ม ไม่ได้ต้องการอาหารเม็ดหรูหราราคาแพง แต่พวกมันก็ต้องการที่ซุกหัวนอนที่อบอุ่นและปลอดภัย ต้องการอิ่มท้องในทุก ๆ ครั้งที่หิว ต้องการโลกที่ใจดีกับมันบ้าง ต้องการจะมีชีวิตที่มีความสุขในแบบของมัน และในวันหนึ่งที่มนุษย์คนหนึ่งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ พามันออกไปจากสภาพความเป็นอยู่แสนเลวร้ายที่อาจทำให้มันตายได้ทุกเมื่อ มันย่อมรู้สึกขอบคุณและอยากตอบแทนบุญคุณมนุษย์บ้างอยู่แล้ว ติดแค่ว่าในความเป็นจริง หมาแมวจรที่มนุษย์เก็บมาเลี้ยงไม่ได้มีพรวิเศษแบบยูคิจิสักหน่อย
ขอบคุณจริง ๆ โชคดีจริง ๆ ที่มียูคิจิอยู่ด้วย
คนที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงก็น่าจะรู้ดีแหละนะ ว่าหมาแมว (หรือสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ) เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับเรามากแค่ไหน โดยเฉพาะในเวลาที่เรา “ไม่เหลือใคร” เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเรากับหมาแมว มันไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สัตว์เลี้ยงก็จะอยู่ข้าง ๆ เราเสมอ ซึ่งเรา ๆ ก็รู้สึกว่าพวกมันสามารถเยียวยาจิตใจที่เป็นทุกข์และเศร้าหมองของเราได้ ต่อให้ก่อนหน้านี้มันจะเป็นสมาชิกในบ้านที่แทบจะไม่สนใจไยดีเราเลย (เว้นแต่ตอนหิวข้าว) แต่เมื่อไรก็ตามที่เราแย่ มันก็จะสัมผัสได้ถึงรังสีความเศร้า และมันก็จะแสนรู้พอที่จะรับรู้ความรู้สึกของเราได้ว่าเราไม่โอเค มันจะเปลี่ยนตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยงที่แสนจะน่ารัก เข้ามาคลอเคลียอยู่เป็นเพื่อน ทำให้เราคลายเศร้าลงได้บ้าง
ที่กล้าพูดแบบนี้ก็เพราะว่าเจอกับตัวมาแล้ว ประสบการณ์แมวที่บ้านนี่แหละ ที่ปกติมันแทบไม่ยอมให้เข้าใกล้เลย ไปแตะไปลูบก็ชอบทำเหมือนเราสกปรก รังเกียจซะเต็มประดา อยู่ด้วยกันก็ชอบเดินเชิดหน้าใส่ กวนประสาทใส่บ้าง ชอบทำหูตึงเรียกไม่หัน แต่ในวันหนึ่งที่เรากลับบ้านมาด้วยอาการป่วย ปวดท้อง นอนร้องไห้ ไม่มีแรงลุกทำอะไรเลย แล้วก็ไม่มีใครอยู่บ้านด้วย มันกลับมีสัญชาตญาณพิเศษในการรับรู้ว่ามนุษย์คนนี้เปลี่ยนไป จู่ ๆ มันก็มานอนซบอยู่ข้าง ๆ ยื่นหน้าเข้ามาดม ๆ แล้วพยายามเสียน้ำตาให้ เอาอุ้งเท้ามาวางพาดแขนเหมือนกลัวเราหาย เป็นปฏิกิริยาที่ไม่เคยเห็นมันทำเลย แล้วมีอยู่แว่บหนึ่งที่รู้สึกเหมือนแมวมันพยายามจะบอกว่า “มนุษย์ ๆ เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ไม่เป็นไร ๆ”
ดังนั้น การที่ซากุมียูคิจิอยู่เป็นเพื่อนในสถานการณ์ที่เธอรู้สึกอ่อนแอที่สุด มันก็คงเหมือนกับสถานการณ์ที่เราไม่สบายในวันนั้นนั่นแหละ ถึงแมวที่บ้านตัวนั้นจะช่วยอะไรเราไม่ได้เลย ทำตัวมีประโยชน์แบบที่ยูคิจิทำให้ซากุก็ไม่ได้ด้วย แต่ก็รู้สึกขอบคุณที่วันนั้นในบ้านยังมีแมว และขอบคุณที่มันยังอุตส่าห์มาซุกตัวลงนอนเป็นเพื่อนอยู่ข้าง ๆ มันอุ่นใจขึ้นเยอะเลยนะ ที่วันนั้นไม่ได้เหลือแค่ตัวเราที่นอนร้องไห้ลุกไปไหนไม่ได้ตามลำพัง แต่มีแมวสองตัวที่แวะเวียนมาดม ๆ เราอยู่ตลอด ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ มันเป็นห่วงเรา หรือจริง ๆ มันก็แค่อยากรู้แหละมั้งว่าตายหรือยัง 555
เพราะฉะนั้น ก็ไม่แปลกเลยที่ในอนิเมะจะมีอยู่ฉากหนึ่งที่ซากุร้องไห้น้ำตาร่วงแหมะ ๆ (เดาว่าน่าจะไม่สบายอยู่) แต่ปากของเธอยังพร่ำขอบคุณแมว สิ่งมีชีวิตอีกตัวที่อยู่ในห้อง ว่าเธอโชคดีจริง ๆ ที่มียูคิจิอยู่กับเธอด้วยในเวลานั้น ทั้งที่ตอนนั้นเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายูคิจิไม่ใช่แมวธรรมดา เธอพูดขอบคุณแมวทั้งที่ไม่รู้ว่าแมวฟังเธอออกหรือเปล่า ไม่รู้ว่าแมวจะรับรู้ความรู้สึกจากเธอได้หรือไม่ แต่เธอสบายใจจริง ๆ ที่มีแมวอยู่ด้วยในวันนั้น เธอคงรู้สึกอุ่นใจขึ้นที่ตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว
The Masterful Cat is Depressed Again Today (Dekiru Neko wa Kyou mo Yuuutsu) หรือ เรื่องน่ากลุ้มของเจ้าเหมียวผู้สามารถ จึงเป็นอนิเมะซีรีส์ที่เหล่าทาสแมวหรือคนรักแมวไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง (ซับไทยที่ iQIYI) แม้ว่าดู ๆ ไปอาจจะรู้สึกอิจฉาซากุที่มีแมวประเสริฐอย่างยูคิจิอยู่ในบ้านก็ตาม ถ้าไม่นับเรื่องที่ยูคิจิเป็นแมวผิดธรรมชาติ และความสัมพันธ์ของซากุกับยูคิจิที่มันออกจะกลับกันแล้วล่ะก็ พล็อตเรื่องจริง ๆ ที่การ์ตูนอนิเมะเรื่องนี้จะสื่อ ก็คือธรรมชาติในการอยู่ร่วมกันของคนกับสัตว์เลี้ยง ที่จริง ๆ แล้วเราต่างก็พึ่งพากันและกัน ต่อให้ซากุจะเป็นมนุษย์ไม่เอาไหนและยูคิจิจะไม่ใช่แมวทั่วไป แต่พวกเขาก็อยู่ร่วมกันอย่างสบายใจ 🐱