Bitch X Rich สงครามประสาทเด็กสาวโรงเรียนลูกคนรวย

เรื่องราวของชนชั้นและการบูลลี่ไม่เคยหายไปจากซีรีส์เกาหลีฉันใด คนดูก็ไม่สามารถหยุดเสพความดาร์กของสังคมเกาหลีที่ถูกสอดแทรกอยู่ในซีรีส์ได้ฉันนั้น เพราะอะไรนั่นหรือ เพราะอยากเห็นว่าเรื่องใหม่ ๆ จะหามุกหรือชั้นเชิงอะไรมาเล่นให้มันดูน่าสนใจ ในเมื่อเรื่องก่อน ๆ เขาก็ทำกันไปเกือบหมดแล้ว คือจะบอกว่าซีรีส์แนวเด็กเปรตบูลลี่เพื่อนจนตายหรือทรมานทางจิตใจจนต้องฆ่าตัวตายเนี่ย เกาหลีมีเยอะแยะมากจนแทบจะไม่มีอะไรให้ว้าวแล้ว (ยกเว้นความเลวร้าย) มันจึงอยู่ที่การใส่ชั้นเชิงในการเล่าเรื่องเข้าไป หรือหาอะไรที่เป็นจุดดึงความสนใจให้คนมาสนใจ

แต่ตอนนี้มีซีรีส์อยู่เรื่องหนึ่งที่เนื้อเรื่องเปิดมาอาจไม่ได้ว้าวเท่าไร แต่พอได้ย้อนกลับไปอ่านเรื่องย่ออีกที กลับคิดว่าเรายังพอจะคาดหวังว่ามันจะว้าวได้อยู่หลังจากนี้ อันที่จริงก็สะดุดตาตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้ว Bitch X Rich แค่ชื่อก็ดูดุดันไม่เกรงใจใคร ฟาดได้ฟาดหมดไม่สนลูกใคร แล้วดูทรงว่านางเอกก็ไม่ใช่สายใส ๆ ให้เขากระทำฝ่ายเดียวด้วย จากตัวอย่างสั้น ๆ มีให้เห็นว่านางก็สู้กลับยิบตาเหมือนกัน เห็นแบบนี้ก็เลยคาดหวังว่ามันจะว้าวได้หลังจากที่ปูทางตัวละครครบทุกตัวและเรื่องราวต่าง ๆ เริ่มนิ่ง คงมีอะไรให้ได้ลุ้นจริง ๆ

Bitch X Rich ชื่อไทยโดยเจ้าของลิขสิทธิ์ซับไทย MONOMAX แปลออกมาเป็น มัธยม X ชนชั้น เป็นเรื่องราวการฟาดฟันกันจุก ๆ ของเด็กสาววัยมัธยมโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง คนหนึ่งเป็นนักเรียนสาวทายาทตระกูลแชโบลรุ่นที่สาม ส่วนอีกคนเป็นนักเรียนใหม่ที่จับพลัดจับผลูได้เข้าไปเรียนที่โรงเรียนลูกคนรวย ทั้งที่จริง ๆ แล้วบ้านเธอมีฐานะยากจน ทั้งคู่เล่นเกมแห่งความจิตใส่กันถึงขนาดที่ว่าสามารถฆ่ากันได้ “ฉันจะทำให้ชีวิตในโรงเรียนของเธอเหมือนตกนรก”

ซับไทยที่ MONOMAX ปล่อยออกมา 2 ตอน เนื้อเรื่องยังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไรเพราะอยู่ในช่วงปูเนื้อเรื่อง แต่ตามเรื่องย่อ คาดว่าสงครามของเด็กสาวสองคนน่าจะเกิดจากการที่เด็กใหม่ดันกลายเป็นพยานเพียงคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์การฆาตกรรมในโรงเรียน ในขณะที่เด็กสาวอีกคนก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมนี้ แต่เรื่องมันกลับวุ่นวายหนักมากตรงที่นักเรียนคนนั้นดันเป็นนักเรียนที่มีอำนาจที่สุดในโรงเรียน มีอิทธิพลที่สามารถทำได้ทุกอย่างแบบที่ไม่ต้องแคร์ใคร ขนาดตกเป็นจำเลยเรื่องใช้ความรุนแรงในโรงเรียน ยังทำให้ทุกคนออกรับแทนได้เลย แอบตกใจนิด ๆ ที่เห็นหนูเยม (เยริ Red Velvet) มาในบทร้ายและหยาบคายขนาดนี้ แต่ก็เชื่อในความสามารถน้องว่าน้องทำได้!

นักเรียนไม่มีเงินก็จริง แต่ว่า มีบัตรแม่

ความเกาหลีเกาใจไม่ได้มีแต่ในแง่มุมที่สวยงาม เรื่องนี้ติ่งเกาหลีรู้ดี ซีรีส์แนวหม่น ๆ ดาร์ก ๆ ถูกผลิตขึ้นบ่อยมาก โดดเด่นเรื่องการสร้างความแตกต่างให้กับคาแรกเตอร์ของตัวละครบ้านรวยกับบ้านจนได้อย่างน่าหมั่นไส้มาโดยตลอด คาแรกเตอร์ตัวละครที่บ้านรวยก็รวยแบบตะโกน พ่วงความนิสัยเสียชอบเหยียดชอบรังแกชาวบ้าน โดยเฉพาะการตราหน้าคนอื่นที่สถานะไม่เทียบเท่าตัวเองว่าเป็นพวกที่ผิดตั้งแต่เกิด ผิดที่เกิดมาจน ส่วนคาแรกเตอร์ตัวละครบ้านจนก็เห็นวิ่งวุ่นตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอต รับจ้างทำงานสารพัดเพื่อให้ตัวเองมีเงิน ดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตที่ดีกว่า พร้อมกับการมองไปที่คาแรกเตอร์ขั้วตรงข้ามของตัวเองแล้วพึมพำในใจว่า “ฉันก็อยากเป็นแบบนั้นเหมือนกัน”

แล้วเกาหลีก็มักจะสร้างเรื่องความขัดแย้งแบบนี้ให้มันเกิดขึ้นในโรงเรียนด้วยนะ มันน่าจะเล่าเรื่องง่ายแหละ เพราะโรงเรียนเป็นสถานที่ที่มีเด็กร้อยพ่อพันแม่ แต่ละครอบครัวก็ไม่ได้มีสถานะเท่ากัน แม้แต่ในกลุ่มคนรวยด้วยกันก็ยังมีการแบ่งชนชั้นว่าใครรวยน้อย ใครรวยมาก ใครรวยที่สุด และใครทั้งรวยทั้งมีอำนาจด้วยซ้ำไป ที่สำคัญ ยังชอบให้ทุนการศึกษาเด็กบ้านจนเข้าได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาเล่าเรียนในกลุ่มเด็กบ้านรวยด้วย มันคือโอกาสและจุดเริ่มต้นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตก็จริง แต่มันก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้หรอกว่าเด็กสองกลุ่มนั้นแตกต่างกัน

จริง ๆ มันก็โยงไปถึงเรื่องของการวางแผนครอบครัวและการมีลูกเมื่อพร้อมนะ ซึ่งคำว่าพร้อมมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของวัยวุฒิ คุณวุฒิด้วย แต่มันมีอีกสิ่งที่สำคัญมาก ๆ นั่นก็คือ ความพร้อมทางด้านการเงิน เพราะการจะเลี้ยงลูกสักคนให้เติบโตไปเป็นคนที่มีคุณภาพ สมัยนี้ต้นทุนมันสูงมาก ด้วยยุคสมัยมันเปลี่ยน การคาดหวังให้เด็กบ้านจนสักคนรักดีแล้วดิ้นรนเอาตัวรอดเองให้เติบโตไปเป็นคนที่มีคุณภาพ เป็นเรื่องที่ใจร้ายเกินไป สุดท้ายมันก็ย้อนกลับไปพ่อแม่อยู่ดีว่าตอนจะมีลูกไม่ได้คิดเลยเหรอว่ามันมีค่าใช้จ่ายเท่าไร ต้องยอมรับว่าบางครอบครัวแค่เรื่องพื้นฐานยังให้ลูกแทบจะไม่มีเลย เลี้ยงตามมีตามเกิด พอเด็กมันโต ก็เลยเป็นภาระที่เด็กต้องแบกรับ ทั้งที่เด็กมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยตั้งแต่แรก

ในทางตรงกันข้าม บ้านที่วางแผนครอบครัว เตรียมความพร้อมทุกอย่างสำหรับการมีลูกโดยเฉพาะเรื่องเงิน มีเงินเหลือเฟือสำหรับใช้จ่ายเพื่อซื้อสังคมที่ดีให้ลูกได้เติบโต แต่ก็กลายเป็นว่าเด็กบางคน (ย้ำว่าบางคน) ก็ยังไม่รักดี ไม่ว่าจะด้วยการขาดการอบรมสั่งสอนหรือพ่อแม่ปลูกฝังชุดความคิดผิด ๆ มาให้ก็ตาม มันก็เลยเข้าอีหรอบเด็กบ้านรวยแถมมีครอบครัวเป็นตระกูลที่มีอำนาจคับฟ้าจะทำอะไรใครต่อใครก็ไม่ผิด ผิดแค่ไหนพ่อแม่ก็ไม่ยอมให้ผิดอยู่แล้ว เสียทั้งชื่อเสียงวงตระกูล เสียทั้งอนาคตของลูกตัวเอง ก็คงต้องช่วยกันปิดบังซ่อนเร้นให้ถึงที่สุด ซีรีส์หรือละครส่วนใหญ่จะนำเสนอมาในแนวนี้เกือบทั้งนั้น มันเลยดูไม่ได้ว้าวอะไรเท่าไรกับพล็อตแบบนี้

ถึงอย่างนั้น เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่เตรียมเงินไว้เปย์ลูกทุกอย่างเพื่อต้องการให้ลูกได้มีสังคมที่ดี มีชีวิตที่สุขสบายไม่ต้องลำบาก ในบางมุมก็กลายเป็นเลี้ยงลูกแบบไม่ใส่ใจได้เช่นกัน มันเป็นการสปอยล์เด็กมากเกินควร พ่อแม่บางคนที่ให้ลูกพกบัตรเครดิตแบล็กการ์ดวงเงินสูงลิ่วเพื่อให้ไลฟ์สไตล์ของลูกพรีเมียมได้เท่าที่ต้องการ ลูกก็เอาไปใช้จ่ายผิดวัตถุประสงค์ซะเป็นส่วนใหญ่ ในเมื่อมีบัตรแม่อยู่ในมือ รูดเท่าไรพ่อแม่ก็เป็นคนจ่าย ทำให้เกิดเป็นไลฟ์สไตล์ที่เกินตัวเอง เกินวัย เกินความจำเป็น เป็นเรื่องที่เอาไปคุยโอ้อวดในกลุ่มเพื่อนได้เป็นเดือน ๆ และแน่นอนว่าบางครั้งมันถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการแบ่งแยกกับเด็กบ้านจนได้อย่างชัดเจนอีกต่างหาก

อะไรที่มีไม่ได้จะพูดว่าไม่อยากมี แล้วพยายามจะด้อยค่าของชิ้นนั้นไม่เลิกด้วย โดยเฉพาะพวกที่บ้านยากจน

อันนี้มันก็ออกจะเกินเบอร์ไปหน่อยนะถ้าจะตีความคำพูดของคนที่ทุนทรัพย์น้อย ๆ ว่าอะไรที่เขาไม่อยากมี แปลว่าเขามีมันไม่ได้ไปซะทั้งหมด มองว่าพวกเขาพูดข่มใจตัวเองว่าไม่เห็นจะชอบ หรือฟุ่มเฟือยไร้สาระ คือบางทีมันก็ไม่ได้มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวเลย แต่มันเป็นรสนิยมไง คนจนหลายคนก็ไม่ได้รู้สึกอยากได้อยากมีข้าวของแพง ๆ จริง ๆ นะ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันไม่ถูกจริตเท่านั้นเอง ไม่ใช่เพราะว่ามีไม่ได้หรือไม่มีปัญญาจะมีในครอบครอง ที่บอกว่าไม่สวย ไม่ชอบ บางคนก็ไม่ได้พูดข่มใจที่แบบฉันก็อยากได้แหละ แต่ฉันมีไม่ได้ ก็เลยทำเป็นพูดด้อยค่าด้อยราคาของสิ่งนั้น ที่เขาพูดแบบนั้นเพราะมันไม่ใช่สำหรับตัวเขาก็แค่นั้นเอง หมายความว่าต่อให้มันราคาไม่แพง พวกเขาก็ไม่ซื้อใช้อยู่ดี

เรื่องของคนมีเงินไม่มีเงิน และเรื่องของของราคาถูกราคาแพง มักจะเป็นเรื่องที่สร้างความขัดแย้งเล็ก ๆ ในใจคนได้เสมอ บางกรณี (ย้ำว่าบางกรณี) คนรวยพูดเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตของเขา อาจจะมีโยงไปหาบุคคลที่สามบ้างแต่ก็เป็นคำพูดปกติในมุมมองของเขา อีกฝ่ายได้ยินเข้าก็เอาไปตีความซะลึกซึ้งเกิน แล้วเข้าใจว่าเขาอวดรวย เขาเหยียดและดูถูกดูแคลนคนไม่มี หรือในกรณีที่คนจนพูดว่าตัวเองไม่ได้อยากมีของแพง ๆ ใช้ อาจเพราะมันเกินความจำเป็นของเขา มันเกินตัว หรือไม่ถูกรสนิยม อีกฝ่ายได้ยินก็ตีความว่าเขาแกล้งทำเป็นไม่อยากได้ไม่อยากมี เหตุผลดูสวย ๆ แต่จริง ๆ เป็นเพราะมีไม่ได้ต่างหาก

มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้านะ ที่คนยุคนี้มักจะมองกันง่าย ๆ แบบนี้เสมอ เหมือนโลกนี้มันมีแค่ขาวกับดำ ถูกกับผิด ถ้าไม่ใช่ขาวก็ต้องเป็นดำแน่ ๆ ถ้าไม่ใช่ถูกก็ต้องผิดชัวร์ ทำเป็นพูดว่าไม่อยากมี เปลือง ด้อยค่า จริง ๆ คืออิจฉาและอยากมีจนตัวสั่นแต่มีไม่ได้สินะ อะไรแบบนี้ หรือคำพูดอะไรก็แล้วแต่ คือมันดูเหมือนว่าเราไม่ได้พยายามมองสิ่งอื่นที่นอกเหนือไปจากนี้เลย มองแต่ที่เราเข้าใจ โลกมันมีความหลากหลายสูงมาก คนเราก็เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน แต่ก็ตัดสินกันในทันทีด้วยคำพูดไม่กี่คำที่อาจไม่ใช่คำพูดทั้งหมด หรือพฤติกรรมบางอย่างของเขาเมื่อนานมาแล้ว แล้วฟันธงทันทีว่ามันเป็นนั้นมันเป็นแบบนี้ ติดป้าย ตีตราขาวดำให้คนอื่นโดยทันที ก็ดูจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกันยากพอสมควรเลย

ที่จะบอกก็คือ บางทีคนเราไม่ต้องไปพยายามตีความคำพูดอะไรของใครให้มันลึกซึ้งขนาดนั้นก็ได้ ใครมันจะไปพูดมีนัยได้ทุกคำ ฟังแล้วปล่อยผ่าน มองว่ามันเป็นคำพูดธรรมดา ๆ ในแบบที่เขาคิดอะไรเขาก็พูดแบบนั้นนั่นแหละ เขาไม่ได้คิดมากหรือคิดซับซ้อนหลายชั้นเพื่อให้มันมีความหมายแฝงในการสื่อสารกับคนฟังหรอก ที่เขาพูดออกมา เขาก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันมีนัยอะไรให้คนฟังเอาไปตีความลึกซึ้งเรื่อยเปื่อย คิดเยอะกับคำพูดคนอื่นมากเกินไปมันจะประสาทกินเอาเปล่า ๆ เพราะมันไม่สนุกหรอกที่เราจะไปมัวจับผิดว่าเขากำลังเหน็บแนมหรือแซะฉันหรือเปล่า ไล่ตีความหมายแฝงจากคำพูดของคนอื่นไปซะหมดโดยปราศจากบริบท อันนี้คือหวาดระแวงและคิดลบมากเกินไป

เอาเข้าจริงแล้ว มันไม่ใช่เรื่องแปลกนะที่เราจะรู้สึกอคติกับใครด้วยความรู้สึกแรกที่เรามีต่อเขา ก่อนที่จะเปิดใจทำความรู้จักตัวตนของใครสักคน ในใจลึก ๆ ของคนเรามักจะตัดสินคนจากบุคลิกภายนอกกันก่อนทั้งนั้น ถ้าอะไรบางอย่างในตัวของเขาทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย กลไกการป้องกันตนเองของเราก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ แต่มันก็ไม่จำเป็นเหมือนกันที่เราต้องแสดงออกเหมือนรังเกียจทั้งที่ยังไม่รู้จักตัวตนกันจริง ๆ คำพูดจากใครบางคนก็เหมือนกัน มันไม่มีใครบนโลกที่จะคิดซับซ้อนแล้วพูดเพื่อสื่อนัยบางอย่างในทุก ๆ ครั้งที่มีลมพ่นออกมาจากปากหรอก ไม่ต้องขยันตีความและตัดสินว่าเขาเป็นคนแบบนั้นแบบนี้จากคำพูดแค่ไม่กี่คำขนาดนั้นก็ได้ ใช้ชีวิตง่าย ๆ สบาย ๆ บ้างก็ดี

ทีแรกที่ฉันทำลงไปเพราะไม่อยากอับอาย แต่ก็นั่นแหละ พอฉันได้ลองทำแค่ไม่กี่ครั้งมันก็ไม่เลวเลยนะ

จะบอกว่าชีวิตของนางเอกเรื่อง Bitch X Rich ในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากรุ่นพี่จากเรื่อง Anna เลย ที่การโกหกเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่สร้างความโกลาหลยิ่งให่ให้กับชีวิต ย้อนกลับไปที่เรื่องราวของ Anna ซีรีส์เมื่อปีที่แล้ว ทำให้นึกถึงนิทานอีสปเรื่อง “เด็กเลี้ยงแกะ” ที่เราทุกคนน่าจะเคยได้ฟังกันสมัยเด็ก ๆ เราก็รู้กันดีว่านิทานเรื่องนี้สอนและเตือนใจให้รู้ว่าราคาที่ต้องจ่ายจาก “การโกหก” มันมหาศาลแค่ไหน สุดท้ายแล้ว และจุดจบของคนโกหกมักจะลงเอยเหมือน ๆ กัน คือแพ้ภัยตัวเอง ยิ่งไม่สามารถจบมหากาพย์การโกหกให้เร็ว ผลลัพธ์ที่ต้องจ่ายคืนก็จะยิ่งร้ายแรง

ชีวิตของนางเอกทั้งสองคนคล้ายคลึงกัน ทั้งคู่เป็นเด็กสาวที่เกิดมาจากพ่อแม่ที่มีฐานะยากจน และต้องโกหกอะไรบางอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ไปต่อ ในที่นี้ก็จะพูดถึงแต่นางเอกเรื่องนี้ที่เป็นเด็กเรียนดีมาก แต่เพราะฐานะยากจน พ่อแม่ไม่ได้มีทุนสนับสนุนให้เธอไปได้ไกลจากจุดที่เป็นแค่พื้นฐานทั่ว ๆ ไป ในเมื่อเธออยากมีชีวิตที่ดีขึ้น เธอต้องดิ้นรนเอง จุดเริ่มต้นของการโกหกของเธอก็คือ การปลอมตัวเป็นรุ่นพี่วัยมหาวิทยาลัยคนหนึ่งที่เธอรู้จัก เพื่อยืมเอาอายุและวุฒิการศึกษาของพี่คนนั้นมาใช้สมัครเป็นติวเตอร์ให้กับเหล่าลูกคนรวย ที่พ่อแม่มักจะจ้างติวเตอร์เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยดัง ๆ ให้มาติวส่วนตัว เพื่อการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายแห่งใหม่ หรือเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย

การเป็นติวเตอร์ให้เด็กบ้านรวยนั้นรายได้ดีมาก แต่เธอเองก็เป็นแค่เด็กม.5 เท่านั้น เธอจึงต้องสวมรอยใช้ประวัติของคนอื่นเพื่อที่ตัวเองจะได้ทำงานนี้ได้ แต่เรื่องราวการโกหกของเธอมันกลับไม่จบแค่นั้น ในวันหนึ่งที่เธอนึกสงสัยว่าทำไมเด็กบ้านรวยจะต้องใช้เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ราคาหลายล้านวอนด้วยทั้งที่อยู่แค่ม.ต้น บวกกับคำพูดแอบเหยียดแรง ๆ ว่าคนอย่างเธอเป็นคนจนไง กระเป๋าทุกใบก็เหมือนกันหมดคือเน้นใช้งานและจะไม่ยอมถลุงเงินไปกับอะไรแบบนี้ จะไปรู้อะไรว่ากระเป๋าที่ดีไซน์คล้ายกัน จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง ใบหนึ่งแพงกว่าอีกใบด้วย แต่ถ้าได้ฟรี ๆ ใครก็คงอยากได้จนตัวสั่นเหมือนกันหมด

ด้วยความสงสัย เธอจึงหยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาถ่ายรูปและตั้งคำถามที่ตัวเองสงสัยจริง ๆ ว่ากระเป๋าใบนี้มันสวยตรงไหนในราคาห้าล้านวอน แต่ก็นั่นแหละ โลกโซเชียลมีเดียที่คนชอบตีความคำถามธรรมดา ๆ เป็นแคปชันเก๋ ๆ ไปซะหมด เข้าใจว่าเธอคือเด็กสาวบ้ายรวยคนหนึ่งที่ถ่ายรูปของแพง ๆ ที่ตัวเองมีแล้วอัปโหลดลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งมันเป็นไลฟ์สไตล์ปกติของเด็กรุ่นใหม่ เมื่อเพื่อนที่โรงเรียนเห็นเข้าก็เลยคิดว่าเธอเป็นคนรวยที่แกล้งจนแล้วมาเรียนที่โรงเรียนธรรมดา ๆ และด้วยความจำเป็นบางอย่าง เธอเลยต้องตามน้ำไปก่อนว่าเธอเป็นลูกคนรวย เป็นคนรวยที่โดนจับได้ว่าแกล้งจน โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าการโกหกครั้งนี้จะนำพาเธอไปสู่หายนะได้ขนาดไหน

นี่มองเห็นเลยว่าการโกหกที่จบไม่ลง แถมยังตามน้ำไปด้วยความจำเป็น (ในแบบของตัวเอง) มันจะนำพาเธอไปพบเจอเข้ากับเรื่องเลวร้ายแบบที่ Anna เป็น เรายังไม่รู้ว่าคิมฮเยอิน นางเอกเรื่องนี้มีความทะเยอทะยานไม่รู้จักพอถึงครึ่งที่อียูมี นางเอกเรื่อง Anna มีหรือเปล่า แต่การที่เธอยอมไหลตามน้ำว่าตัวเองเป็นลูกคนรวยด้วยสถานการณ์แบบนั้น มันก็ชัดเจนอยู่ว่าเธอคงไม่ธรรมดา และมหากาพย์การโกหกของเธอคงยังไม่สิ้นสุดลงง่าย ๆ เพราะเธอยังคาดหวังผลลัพธ์บางอย่างจากการโกหกนี้อยู่ด้วย เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของตัวเอง

“ทีแรกที่ฉันทำลงไปเพราะไม่อยากอับอาย แค่เกิดมาจนก็แย่พอแล้วล่ะ ฉันไม่อยากถูกคนอื่นดูถูกเหยียดหยามมากไปกว่านี้แล้ว แล้ว แต่ว่าก็นั่นแหละ พอฉันได้ลองทำแค่ไม่กี่ครั้ง มันก็ไม่เลวเลยนะ มันเป็นความฝันที่ชาตินี้ไม่มีทางเป็นไปได้ อย่างน้อยในโซเชียลก็ยังให้ฉันได้สนุกกับภาพลวงตาบ้าง”

จริง ๆ แล้ว การโกหกว่าเป็นลูกคนรวยของนางเอกมันก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของเรื่องราวในซีรีส์เท่านั้น เพราะหลังจากนี้ ชีวิตเธอจะจับพลัดจับผลูได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนมัธยมนานาชาติชองดัม แล้วไปพบกับเรื่องที่เลวร้ายกว่านี้มาก จากแก๊งหัวโจกเด็กบ้านรวยที่หยิ่งผยอง ทำตัวมีอิทธิพลเหนือทุกคนไม่เว้นหัวหงอกหัวดำ และมองคนอื่นไม่ต่างจากขยะเปียก และอีกไม่นาน เธอจะกลายเป็นพยานเพียงคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์การฆาตกรรมภายในโรงเรียน ซึ่งมีผู้ต้องสงสัยเป็นเด็กหัวโจกคนนั้นนั่นเอง มาดูซิว่าเธอจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์เลวร้ายนี้ไปได้อย่างไร 🤫