ยุคดิจิทัลเอจ ที่ผู้คนหยาบทางความรู้สึก

ผู้เขียนเคยกึ่งคุยกึ่งถามกับน้องในทีมว่า “เราอยู่ในยุคที่มีเครื่องมือสื่อสารที่สะดวกมาก มีแอปพลิเคชันที่ทำให้ติดต่อกันง่ายแค่พลิกฝ่ามือ แต่ทำไมหลายคนยังคงไม่เข้าใจข้อความที่ส่งไป หรือบางคนเห็นแล้วว่าเป็นปัญหาแต่ยังไม่ถาม” ซึ่งคำตอบที่ได้คือ “อ่านไม่ละเอียดบ้าง” หรือ “คิดว่าพี่รู้แล้วว่าเป็นปัญหาเลยไม่ได้บอก”

เอาเข้าจริง ๆ ไม่ใช่แค่น้อง ๆ ในทีมที่ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์กับเรื่องประเภท “สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง” หรือ “สื่อสารไปแล้วไม่ตอบรับ” แต่กับบุคคลรอบตัวบางท่าน หรือแม้กระทั่งกับเพื่อนฝูงบางคนก็ทำให้รู้สึกว่า พวกเขามีวิธีคิดแบบ “เอาสะดวกตัวเอง”

จากมุมมองของผู้เขียนที่ใช้ชีวิตปกติ และใช้เครื่องมือสื่อสารให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างที่ควรจะเป็นในยุคดิจิทัลเอจ ถ้าผู้เขียนติดประชุม หรือติดงานที่ไม่สามารถเปิดโทรศัพท์ได้ ก็จะใช้เครื่องมือตอบกลับอัตโนมัติที่อยู่ในโทรศัพท์เพื่อให้คนที่ติดต่อมาได้รับทราบว่าเราทำอะไรอยู่ จากนั้นเมื่อเสร็จจากประชุม เสร็จจากงาน ก็จะไล่ตอบและโทรกลับทุกสายที่พลาด ทุกแอ็กเคานต์ที่ส่งข้อความมา

แต่ปรากฏว่าคนที่ใช้โทรศัพท์ปกติอย่างผู้เขียน ต้องเจอกับนิสัยแบบใหม่ในยุคดิจิทัลเอจ ประเภททำงานร่วมกัน เมื่อโทรไปไม่รับสายและไม่โทรกลับ ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข คำถามที่ยังค้างคายังไม่ได้ตอบ ก็กลายเป็นปริศนาว่าจะสรุปจบอย่างไร จนต้องมาพิจารณาเองว่า คนยุคดิจิทัลเอจไม่กล้าที่จะปฏิเสธตรง ๆ แต่จะใช้วิธีปฏิเสธการติดต่อแทน

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วิธีการแบบนี้ หากต้องกลับมาคุยกันอีก สำหรับผู้เขียนแล้วอาจจะไม่สะดวกใจคุย เพราะคนที่ใช้วิธีดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าพวกเขา “เอาแต่สะดวกตัวเอง” เห็นจะร่วมงานกันลำบาก การปฏิเสธตรง ๆ พร้อมกับเหตุผลยังเป็นวิธีการที่น่าจะทำให้คบหากันได้ในระยะยาวมากกว่า

แม้กระทั่งการสื่อสารกันระหว่างเพื่อนฝูง ที่พอมีคำว่า “เพื่อน” เข้ามาความรู้สึกเกรงใจจะลดลงครึ่งหนึ่งหรืออาจไม่มีเลย ประเภทมีธุระเร่งด่วนมาให้ช่วยเหลือ แต่พอไลน์ไปไม่ตอบ โทรไปไม่รับ และไม่โทรกลับ โดยให้เหตุผลว่าติดธุระของตัวเองอยู่ แต่ไม่ได้คิดบ้างหรือว่าคนอื่นก็มีธุระของเขาเหมือนกัน

หรือบางประเภทที่อยากให้คนอื่นมาสนใจแต่ปากบอกว่าไม่โทรหาใครก่อน ประเภทนี้ก็ “เอาสะดวกความรู้สึกตัวเอง” ไม่สนใจความรู้สึกคนที่ต้องเป็นฝ่ายออกปากถามไถ่หรือเชิญชวน เวลาเจอแบบนี้แนะนำว่าให้คุณผู้อ่านปล่อยพวกเขาอยู่ในวงโคจรแบบหมุนรอบตัวเองต่อไป

และที่น่าแปลกสำหรับยุคสมัยดิจิทัลเอจ คือ ความเข้าใจผิดจากแอปพลิเคชันสำหรับการสื่อสารหรือโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุ๊ปไลน์เพื่อนนักเรียน กรุ๊ปไลน์เพื่อนมหาวิทยาลัย กรุ๊ปไลน์เพื่อนผู้ปกครอง กรุ๊ปไลน์หมู่บ้านหรือคอนโด หรือกรุ๊ปไลน์ที่ทำงาน ฯลฯ เชื่อไหมคะ ถ้าได้ลองมีกรุ๊ปไลน์หลัก ก็มักจะมีกรุ๊ปไลน์ที่แตกออกไปจากรุ๊ปไลน์หลักเสมอ เมื่อสมาชิกในกลุ่มรู้สึกไม่พอใจหรือมีทัศนคติไม่ตรงกับในกรุ๊ปใหญ่ แล้วกลายเป็นว่ายุคดิจิทัลเอจทำให้คนหนึ่งคนกลายเป็นสมาชิกกรุ๊ปไลน์หลายกลุ่มเลยทีเดียว

ความหมายของยุคดิจิทัลเอจนั้น ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า “คือยุคที่มีการใช้สื่อออนไลน์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสื่อสาร การปฏิบัติงานและการทำงานร่วมกัน” หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าการทำงานร่วมกัน เราสามารถติดต่อกันได้สะดวกขึ้น ให้ข้อมูลกันได้ง่ายขึ้น และมองเห็นความเป็นไปได้ในการทำงานร่วมกันมากกว่าเดิม

ดังนั้น วิธีที่หลายคนไม่กล้าปฏิเสธคนอื่นตรง ๆ แต่ใช้วิธีปฏิเสธการสื่อสาร ไม่ใช่วิธีที่ดีแน่ในยุคดิจิทัลเอจ การติดต่อระหว่างกันก็ไม่ควรเกิดความเข้าใจผิดอย่างมากมายในปัจจุบัน ยุคนี้ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นคนเข้าถึงยาก การตอบไลน์ ส่งข้อความ หรือยกหูโทรศัพท์เพื่อไถ่ถามสารทุกข์ เพื่อขอบคุณ เพื่อขอโทษ หรือเพื่ออธิบายด้วยความจริงใจไม่ได้เสียเวลาเกินห้านาที แต่รักษาน้ำใจกันได้ตลอดไป

อย่าให้ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเปลี่ยนให้มนุษย์หยาบทางความรู้สึกกันนักเลยค่ะ เพราะมิเช่นนั้น วิธี “เอาแต่สะดวกตัวเอง” จะกลายเป็นเรื่องปกติของคนรุ่นต่อ ๆ ไป ซึ่งคุณผู้อ่านต้องถามตัวเองกลับด้วยว่า “อยากจะอยู่ในสังคมที่มีแต่คนนิสัยเช่นนี้หรือเปล่า ถ้าไม่อยากก็ต้องเริ่มที่ตัวคุณก่อนค่ะ”

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า