ช่วงเวลานี้ของทุก ๆ ปี คือช่วงเวลาคนวัยทำงานคุ้นเคยดี ภาระหน้าที่ของ “การยื่นภาษี” วนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งการยื่นภาษีถือเป็นหน้าที่ของประชนชาวไทยผู้มีรายได้ทุกคน โดยผู้เสียภาษีกลุ่มใหญ่ของประเทศ คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือ ภ.ง.ด. 90/91 ที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่มนุษย์เงินเดือน ฟรีแลนซ์ และลูกจ้างตามสัญญาจ้างทั้งหลาย ว่าจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตั้งแต่เดือนมกราคมจนเดือนมีนาคมของปีถัดไป
อย่างไรก็ตาม คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานและมีรายได้เป็นของตนเองเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา ทำให้ในเวลานี้ที่เป็นการยื่นภาษีของปี 2565 จึงเป็นการยื่นภาษีครั้งแรกในชีวิต หรือใครบางคนอาจจะทำงานมาสักพักแล้วแต่อาจไม่เคยยื่นภาษีมาก่อน แม้กระทั่งคนที่เคยยื่นภาษีทุกปีแต่ก็มีบางอย่างที่ลืมเลือนหรือจำสับสนไปบ้าง Tonkit360 จึงจะมาอัปเดตข้อมูลและคำถามเกี่ยวกับภาษีที่ผู้เสียภาษีควรรู้ ก่อนที่จะทำเรื่องยื่นภาษี
ยื่นภาษี ≠ เสียภาษี
ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจเรื่อง “การยื่นภาษี” กับ “การเสียภาษี” ให้เข้าใจเสียก่อน เพราะผู้มีรายได้ทุกคนมีหน้าที่ “ยื่นภาษี” แต่ไม่ได้หมายความว่าต้อง “เสียภาษี” กันทุกคน เพราะคนที่จะเสียภาษี คือคนที่ยื่นภาษีแล้วพบว่ามีเงินได้หรือมีรายได้สุทธิถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีเท่านั้น โดยอัตราการเสียภาษีจะคำนวณจากเงินได้สุทธิที่มีการหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ ตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น หากหักลบทุกอย่างแล้ว เงินได้ของคุณอยู่ในขั้นได้รับการยกเว้นภาษี คุณก็ไม่ต้องจ่ายภาษี หรือถ้าคุณจ่ายไปแล้ว คุณก็จะได้เงินคืน
นั่นหมายความว่าตามกฎหมาย แม้แต่บุคคลที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องจ่ายภาษี ก็ยังมีหน้าที่ “ยื่นแบบภาษี” เหมือนกับผู้ที่มีรายได้เข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษีตามปกติทุกอย่าง เพื่อเป็นการแสดงตนถึงการเป็นผู้ที่มีรายได้นั่นเอง นอกจากนี้ยังใช้เป็นหลักฐานเวลายื่นทำธุรกรรมในอนาคต เพื่อที่จะแสดงถึงรายได้ของบุคคล
สูตรที่ง่ายที่สุดในการคำนวณรายได้สุทธิ คือ เงินได้ทั้งปี-ค่าใช้จ่าย-ค่าลดหย่อน=เงินได้สุทธิ
โดย ค่าใช้จ่ายในที่นี้ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่เป็นต้นทุนสำหรับการทำงาน ทุกอาชีพที่สร้างรายได้ จะมีค่าใช้จ่ายในการสร้างรายได้เสมอ
- ค่าใช้จ่าย คือ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กฎหมายมอบให้ โดยขึ้นอยู่กับประเภทของเงินได้ที่คุณได้รับ เพื่อให้ได้เงินได้หรือรายได้สุทธินั้นมาคิดภาษีตามบัญชีอัตราภาษี โดยมีอัตราการหักค่าใช้จ่ายมากหรือน้อยตามแต่ละประเภทของเงินได้ เช่น เงินได้จากค่าเช่า เงินได้จากเงินเดือน เงินได้จากค่ารับเหมาทั้งค่าแรงและค่าของ ซึ่งไม่เหมือนกับ ค่าลดหย่อน โดยคุณสามารถเช็กได้ว่าเงินได้แต่ละประเภทหักค่าใช้จ่ายได้เท่าไร
- ค่าลดหย่อน เป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กฏหมายมอบให้โดยขึ้นอยู่กับสถานภาพและภาระของผู้เสียภาษีแต่ละคน เช่น มีภาระเลี้ยงดูพ่อแม่ จ่ายเบี้ยประกันชีวิต เป็นต้น โดยคุณสามารถเช็กรายการลดหย่อนภาษีของคุณว่าในปีภาษี 2565 ที่กำลังจะทำเรื่องยื่นภาษีอยู่นี้ สามารถลดหย่อนอะไรได้บ้าง
หลังจากคุณคำนวณรายได้สุทธิที่หักทุกอย่างออกแล้ว คุณสามารถนำมาเทียบกับบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่เริ่มใช้ปีภาษี 2560 ว่าคุณต้องเสียภาษีเท่าไร ดังนี้
- เงินสุทธิ 1 – 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี
- เงินสุทธิ 150,001 – 300,000 บาท อัตราเสียภาษีร้อยละ 5
- เงินสุทธิ 300,001 – 500,000 บาท อัตราเสียภาษีร้อยละ 10
- เงินสุทธิ 500,001 – 750,000 บาท อัตราเสียภาษีร้อยละ 15
- เงินสุทธิ 750,001 – 1,000,000 บาท อัตราเสียภาษีร้อยละ 20
- เงินสุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท อัตราเสียภาษีร้อยละ 25
- เงินสุทธิ 2,000,001 – 5,000,000 บาท อัตราเสียภาษีร้อยละ 30
- เงินสุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป อัตราเสียภาษีร้อยละ 35
ทำไมต้อง “ยื่น” ภาษีด้วย
ถ้าหากคุณเป็นบุคคลผู้มีรายได้ (หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ มีงานทำ) คุณต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อแสดงรายได้ที่ได้รับตลอดทั้งปี เพราะ “การยื่นภาษี” เป็นข้อกำหนดในกฎหมายสรรพากร ว่าด้วยประชาชนคนไทยจำเป็นต้องมีการยื่นภาษีเพื่อแสดงรายได้ และให้รัฐมีฐานข้อมูลรายได้ของคุณ ในอนาคต หากคุณอาจต้องทำธุรกรรมทางการเงิน และต้องใช้เอกสารสำคัญจากทางราชการว่าเป็นผู้มีรายได้ การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะช่วยยืนยันว่าคุณเป็นคนที่มีรายได้เป็นหลักแหล่ง และสามารถทำธุรกรรมทางการเงินกับสถาบันการเงิน แต่ถ้าใครที่มีรายได้อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องจ่ายภาษี ภาษีเหล่านั้นจะถูกนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ
ส่วนการเสียภาษีนั้น จะเป็นหน้าที่ของผู้เสียภาษีที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ตามที่กฏหมายกำหนดว่าต้องจ่ายเท่านั้น โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คุณจะเสียภาษีก็ต่อเมื่อคุณมีเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาท/ปี เท่านั้น ดังนั้น หากคุณคำนวณหาเงินได้สุทธิแล้ว พบว่าเงินได้สุทธิของคุณไม่เกิน 150,000 บาท/ปี แปลว่า คุณมีหน้าที่ยื่นภาษีเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่เสียภาษีแต่อย่างใด แต่ถ้าคำนวณเงินได้สุทธิแล้วพบว่า คุณมีเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาท/ปี คุณมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีและเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
มีงานทำ มีรายได้ แต่ไม่ยื่นภาษีได้หรือไม่
คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะถ้าคุณเป็นผู้ที่มีงานทำ และมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดว่า “ต้องยื่น” คุณก็ต้องยื่นเมื่อถึงเวลาที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แม้ว่าคุณอาจมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีก็ตาม ซึ่งมีเพียงกรณีเดียวที่คุณมีรายได้ แต่ไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ คุณเป็นผู้มีรายได้ต่ำ คือ มีรายได้ไม่ถึง 10,000 บาท/เดือน หรือมีรายได้รวมทั้งปีภาษีไม่เกิน 120,000 บาท ดังนั้น หากคุณเป็นผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน คุณไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่ารายได้ของคุณจะเป็นรายได้ประเภทที่ต้องเสียภาษี หรือรายได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี (มีรายได้บางประเภทที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี) คุณก็ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ดี ยกเว้นกรณีรายได้ต่ำไม่ถึง 10,000 บาท/เดือน หรือไม่ถึง 120,000 บาท/ปี เพียงกรณีเดียว
การไม่ยื่นภาษี มีความผิด!
เพราะกฏหมายกำหนดว่าผู้ที่มีรายได้ทุกคนต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่ยื่น แปลว่าคุณทำผิดกฎหมายและมีโทษ ถ้าต้องการความสบายใจว่าเป็นพลเมืองที่ทำถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนกรมสรรพากรเรียกไปตรวจสอบ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง และไม่เสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบว่าเลี่ยงภาษี ก็ยื่นให้ตรงเวลา แม้ว่ารายได้คุณจะต่ำกว่าเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีก็ตาม
- ถ้ารายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่ยื่นภาษี หากพบ จะมีโทษปรับ 2,000 บาท (จ่ายจริง 200 บาท)
- ถ้ารายได้ถึงเกณฑ์ แต่ไม่ยื่นภาษี หากพบ จะมีโทษปรับ 2,000 บาท (จ่ายจริง 200 บาทเช่นกัน) บวกกับดอกเบี้ย 1.5 เปอร์เซ็นต์/เดือน หรือ 18 เปอร์เซ็นต์/ปี เริ่มนับตั้งแต่วันที่หมดเขตยื่นภาษีถึงวันที่เพิ่งมายื่นภาษี
ภ.ง.ด. 90 กับ ภ.ง.ด. 91 ต่างกันอย่างไร
ภ.ง.ด.90 : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 90 สำหรับผู้ที่มีรายได้เป็นเงินเดือนและมีรายได้ทางอื่นด้วย อาทิ เงินปันผลจากกองทุนรวม เงินปันผลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เงินรายได้จากธุรกิจส่วนตัว เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ หรือค่าเช่า สำหรับผู้ที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 มีดังนี้
- บุคคลที่ยังไม่จดทะเบียนสมรส ที่มีเงินได้เกิน 60,000 บาท
- บุคคลที่เป็นสามี-ภรรยา ที่มีเงินได้จากทั้งสองฝ่ายรวมกันเกิน 120,000 บาท
- ทรัพย์สินมรดก ที่ยังไม่ได้แบ่งมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
- ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล มีเงินได้เกิน 60,000 บาท
- บุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล มีเงินได้เกิน 60,000 บาท
- วิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล ที่มีเงินได้เกิน 1,800,000 บาท หรือ 60,000 บาท แต่ไม่เกิน 1,800,000 บาท จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
ภ.ง.ด. 91 : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 91 สำหรับผู้ที่มีรายได้เป็นเงินเดือนโดยไม่มีรายได้เสริมจากแหล่งงานหรือรายได้อื่น เช่น พนักงานบริษัทที่รับเงินค่าจ้างเพียงอย่างเดียว สำหรับผู้ที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 91 มีดังนี้
- บุคคลที่ยังไม่จดทะเบียนสมรส มีเงินได้เกิน 120,000 บาท
- บุคคลที่เป็นสามี ภรรยา ที่มีเงินได้จากทั้งสองฝ่ายรวมกันเกิน 220,000 บาท
เงินได้ที่ว่านั้น ได้แก่ เงินที่ได้จากการจ้างงาน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่ได้จากการที่นายจ้างให้อยู่บ้านเช่าโดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่ได้จากการที่นายจ้างจ่ายหนี้สินให้ซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชําระ และเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใด ๆ ก็ตามที่ได้จากการจ้างงาน เงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวสาเหตุเพราะออกจากงานรวมทั้งเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานที่มีระยะเวลาการทํางานน้อยกว่า 5 ปี
เอกสารที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนทำเรื่องยื่นภาษีมีอะไรบ้าง
- หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย จากนายจ้าง หรือที่มักเรียกกันว่าใบ 50 ทวิ เป็นหลักฐานที่ผู้มีเงินได้จะได้รับเพื่อแสดงว่าผู้รับเงินได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยผู้รับเงินจะได้รับใบ 50 ทวิ จำนวน 2 ใบ ซึ่งมีข้อความตรงกันไว้เป็นหลักฐานสำหรับการยื่นภาษีในปีภาษีที่ได้รับเงินได้ก่อนนั้น ๆ ผู้จ่ายเงินจะเป็นผู้ที่มีหน้าที่ออกหลักฐานดังกล่าวให้แก่ผู้รับเงิน นอกจากนี้ ใบ 50 ทวิยังเป็นเอกสารที่ระบุว่าในปีนั้น ๆ ผู้รับเงินมีรายได้รวมเท่าไร มีการหักชำระกองทุน หรือเงินทุนสำรองต่าง ๆ ไปเท่าไร
- รายการลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัวที่รวบรวมไว้ตลอดทั้งปี
- รายการค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออมและการลงทุน เงินบริจาค โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต้องมีเอกสารประกอบการลดหย่อนภาษีเพื่อนำมาใช้ในการกรอกแบบฟอร์มยื่นภาษี
เอกสารที่ต้องใช้ยื่นภาษีเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่สุด หากคุณเป็นมนุษย์เงินเดือนที่รับรายได้จากที่ทำงานทางเดียว ก็สามารถใช้ใบรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ที่นายจ้างออกให้มาใช้คำนวณและกรอกยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด. 91/90) อย่างไรก็ตาม หากคุณมีรายได้หลายช่องทาง ก็ต้องเตรียมใบรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ของนายจ้างอื่น ๆ ที่จ้างคุณทำงานไว้ให้ครบทุกใบด้วย
ต้องยื่นภาษีเงินเมื่อไร
ปกติการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเปิดให้ยื่นปีละ 1 ครั้ง ภายในวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม ของปีถัดไป กล่าวคือ รายได้ที่เกิดขึ้นในปี 2565 (ปีภาษี 2565) จะต้องทำเรื่องยื่นภาษีภายในวันที่ 1 มกราคม จนถึง 31 มีนาคม 2566 แต่ถ้ายื่นออนไลน์ จะได้ถึงวันที่ 10 เมษายน 2566
แต่หากเป็นเงินได้บางลักษณะ เช่น การให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เงินได้จากการรับเหมา เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ เป็นต้น จะต้องยื่นภาษีตอนกลางปี ภายในเดือนกันยายนของทุกปี
ยื่นภาษีได้ที่ไหนบ้าง
ปัจจุบันกรมสรรพากรได้เปิดช่องทางสำหรับยื่นภาษี 3 ช่องทางหลัก ได้แก่
- สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทุกแห่ง
- ไปรษณีย์ แบบลงทะเบียน เฉพาะผู้มีเงินได้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพฯ
- ทางออนไลน์ เป็นช่องทางที่ง่ายที่สุด โดยสามารถยื่นผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร และแอปพลิเคชัน RD Smart Tax ได้เลย