เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าสักวันตนเองจะเจ็บป่วยวิกฤติถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ โดยเฉพาะคนที่เข้าใจว่าตนเองนั้นสุขภาพแข็งแรงดี เนื่องจากดูแลสุขภาพอย่างดีมาโดยตลอด กินอาหารดี ๆ มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพเป็นประจำ ไม่มีโรคประจำตัว อารมณ์แจ่มใสไม่ค่อยเครียด อายุยังน้อย แทบจะไม่เคยป่วย รวมถึงร่างกาย (เคย) มีความทนทานต่อกิจกรรมหนัก ๆ หากมองจากภายนอก ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าคนประเภทนี้เป็นคนสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ร่างกายอ่อนแอ ป่วยบ่อย และเจ็บออด ๆ แอด ๆ มาโดยตลอด
แต่…“ร่างกายคนเรามันซับซ้อน” กว่านั้น มันจึงกลายเป็นเรื่องชวนฉงนขึ้นมาทันที หากคนประเภทที่ดูแข็งแรง ดูสุขภาพดี จู่ ๆ กลับกลายเป็นคนที่ล้มป่วยแบบเฉียบพลัน และอาการหนักจนเข้าขั้นวิกฤติ เหตุการณ์ล้มป่วยแบบกะทันหันเช่นนี้ ดูจะเป็นเหตุการณ์ที่ห่างไกลจากคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากจนแทบไม่มีใครอยากเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น เพราะตามข้อเท็จจริงแล้ว ใคร ๆ ต่างก็มองว่าโอกาสนี้น่าจะเกิดขึ้นกับคนที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง หรือเจ็บป่วยบ่อย ๆ มาตลอดมากกว่า พอมันเกิดขึ้นกับคนที่ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี มันจึงกลายเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ
ทว่าการเจ็บป่วยเฉียบพลันเหล่านั้นเกิดขึ้นกะทันหันโดยไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ ด้านสุขภาพเลยจริง ๆ หรือ? หรือคนที่เชื่อว่าตนเองร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพดีอาจจะละเลยสัญญาณเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ หยุมหยิมไปมากกว่า ไม่รู้สึกว่ามันเป็นความผิดปกติใด ๆ ที่เมินเฉยไม่สนใจเพราะคิดว่าไม่มีอะไรหรอก ก็ที่ผ่านมาฉันแข็งแรงดี ฉันจะป่วยรุนแรงเฉียบพลันได้อย่างไรกัน!
อย่าละเลยความผิดปกติของร่างกาย ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
บ่อยครั้งที่การเจ็บป่วยเฉียบพลันด้วยโรคร้ายมักมีสัญญาณเตือนให้รู้ล่วงหน้าก่อนนานแล้ว แต่เนื่องจากมันมักจะเป็นอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงทำให้หลายคนไม่ได้ใส่ใจหรือมองข้ามไป โดยเฉพาะกับคนที่เข้าใจว่าตนเองร่างกายแข็งแรงดีมาโดยตลอด ทำให้กว่าจะรู้ตัวว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเองก็อาจจะสายเกินแก้ เนื่องจากเข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรคแล้ว หรือมีอาการกำเริบฉับพลันจนเข้าขั้นวิกฤติ
ดังนั้น จึงต้องหมั่นสังเกตสัญญาณเตือนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย และเข้ารับการรักษากับแพทย์อย่างทันท่วงที ก็จะช่วยลดความสูญเสียลงได้ เรื่องของสุขภาพเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย แม้ว่าร่างกายภายนอกจะดูปกติแข็งแรงดี แต่สิ่งที่ร่างกายข้างในที่มองไม่อาจจะไม่ปกติเหมือนภายนอกก็ได้ ดังนั้น หากมีอาการผิดปกติควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ทำการวินิจฉัยโรคให้ถูกต้อง อย่าเพียงเปิดเช็กอาการจากกูเกิลเท่านั้น (คุณสามารถใช้กูเกิลเช็กอาการเบื้องต้นว่าคุณเข้าข่ายหรือไม่ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าคุณต้องเป็นโรคเหล่านี้เสมอไป) เพราะคุณอาจกำลังเผชิญกับโรคร้ายที่แฝงตัวอยู่อย่างเงียบเชียบก็เป็นได้
6 อาการฉุกเฉินวิกฤติที่ส่งผลต่อชีวิต
การเจ็บป่วยฉุกเฉิน หมายถึง การได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน ซึ่งมีผลต่อชีวิตหรือการทำงานของอวัยวะสำคัญ ผู้ป่วยจำเป็นต้องบริการตรวจและรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการเสียชีวิตหรืออาการเจ็บป่วย ที่รุนแรงขึ้น ลักษณะอาการที่เข้าข่าย เช่น ปวดท้องรุนแรง อุจจาระร่วง หมดสติ ช็อก สะลึมสะลือ เจ็บท้องคลอด คลอดฉุกเฉิน ตกเลือด เลือดออกทางช่องคลอด มีสิ่งแปลกปลอมอุดตันทางเดินหายใจ เจ็บหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย ชักเกร็ง ชักกระตุก บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจร อุบัติเหตุอื่น ๆ ตกจากที่สูง ถูกทำร้ายร่างกาย ไฟฟ้าช็อต ไฟไหม้ ได้รับสารพิษ ยาพิษ สัตว์มีพิษกัดต่อย ฯลฯ
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ 6 อาการฉุกเฉินวิกฤติที่สามารถส่งผลต่อชีวิตและอวัยวะสำคัญ ซึ่งถ้าหากมีอาการ 1 ใน 6 นี้ ควรรีบโทรแจ้ง 1669 หรือไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ได้แก่
- หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ไม่ตอบสนองต่อการเรียกหรือกระตุ้น ต้องได้รับการกู้ชีพทันที
- การรับรู้ สติเปลี่ยนไป บอกเวลา สถานที่ คนที่คุ้นเคยผิดเฉียบพลัน
- ระบบหายใจมีอาการวิกฤติ ไม่สามารถหายใจได้ปกติ หายใจเร็ว แรง และลึก หายใจมีเสียงดังผิดปกติ พูดได้แค่สั้น ๆ หรือร้องไม่ออก ออกเสียงไม่ได้ หรือสำลัก มีสิ่งแปลกปลอมอุดทางเดินหายใจ มีอาการเขียวคล้ำ
- ระบบไหลเวียนเลือดวิกฤติ อย่างน้อย 2 อาการ คือ ตัวเย็นและซีด เหงื่อแตกท่วมตัว หมดสติชั่ววูบ หรือวูบเมื่อลุกหรือยืน
- อวัยวะฉีกขาด เสียเลือดมาก เสี่ยงต่อการพิการ
- อาการอื่น ๆ ที่มีภาวะเสียงต่อชีวิตสูง เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง แขนขาอ่อนแรงทันทีทันใด ชักเกร็ง
รอดหรือไม่? อาจขึ้นอยู่กับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
เนื่องจากอาการฉุกเฉินวิกฤติเป็นเรื่องใกล้ตัวมากกว่าที่คิด ไม่ว่าใครก็สามารถตกอยู่ในสถานการณ์เจ็บป่วยแบบฉับพลันเข้าขั้นฉุกเฉินได้ทั้งนั้น สถานการณ์แบบนี้มักเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน โดยที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า การที่มันไม่เกิดกับตัวเรา ก็อาจจะเกิดขึ้นกับคนรอบข้างเรา หรือแม้แต่กับคนแปลกหน้าที่ใช้เส้นทางร่วมกัน ในกรณีที่เรามีโอกาสเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบที่ว่า เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยชีวิตคนเหล่านั้น นอกจากโทรแจ้ง 1669 เพื่อเรียกรถฉุกเฉินแล้ว ระหว่างที่รอการช่วยเหลือจากหน่วยฉุกเฉิน มันคงจะดีกว่าถ้าหากเรารู้วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างถูกวิธี เพราะจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้แก่ผู้ประสบเหตุด้วย
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น (First Aid) เป็นการให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บแบบทันที ณ บริเวณที่เกิดเหตุ โดยผู้ช่วยเหลือจำเป็นต้องมีทักษะความรู้เฉพาะทางหรือการตัดสินใจที่เหมาะสมกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย ซึ่งในการช่วยเหลือเบื้องต้นอาจใช้เพียงอุปกรณ์เท่าที่หาได้ในขณะนั้น เพื่อประคับประคองอาการของผู้ป่วยจนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์ หรือถูกส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม การปฐมพยาบาลกลับเป็นเรื่องที่คนเดินถนนทั่ว ๆ ไปมีความรู้เรื่องที่ถูกต้องน้อยมาก ทั้งที่เป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตพื้นฐานด้วยซ้ำไป
ทักษะการปฐมพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตคน พื้นฐานที่น่าจะได้ใช้บ่อย ๆ ก็คือ การทำ CPR คือปฏิบัติการช่วยให้ฟื้นคืนชีพ เป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ (กำลังจะ) หยุดหายใจหรือหัวใจ (กำลังจะ) หยุดเต้น ให้กลับมาหายใจหรือลมหายใจไหลเวียนได้ตามปกติอีกครั้ง ผู้ที่จะทำ CPR จึงต้องมั่นใจว่าตัวเองทำเป็นแน่ ๆ อาจผ่านการฝึกฝนว่าสามารถทำได้ทำอย่างถูกต้อง เพราะมันเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นชนิดที่ต้องช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทำถูกวิธี และมีประสิทธิภาพ สิ่งที่พึงระลึกถึงเสมอ คือ สมองของคนเราจะขาดออกซิเจนไปเลี้ยงได้ไม่เกิน 4 นาที มิเช่นนั้นสมองจะตาย เป็นเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาต่อมาได้