
หลังจากที่เปิดใจดูซีรีส์ย้อนยุคเรื่อง Under the Queen’s Umbrella เพื่อทำคอลัมน์ ก็ได้พบว่าตัวเองไม่สามารถทำใจเดินออกจากวังหลวงโชซอนได้อีกเลย เก็บข้าวเก็บของออกมานอกวังเพื่อใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็ต้องเก็บสัมภาระกลับเข้าวังอีกตามเคย แต่ใครที่เป็นแฟนซีรีส์พีเรียด อย่าพยายามเอา 2 เรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกันนะ เพราะพล็อตหลักมันต่างกันแต่แรกอยู่แล้ว เรื่องนี้มันรอมคอมจ๋าเลย พ่วงด้วยมุกใต้สะดือพอหอมปากหอมคอ ก็ฮากันไป
The Forbidden Marriage เป็นซีรีส์ย้อนยุคที่มีเรื่องราวอยู่สมัยราชวงศ์โชซอนของเกาหลี สร้างมาจากเว็บตูนชื่อเดียวกัน แต่ภาษาไทยรู้จักกันในชื่อ “คู่รักวิวาห์ต้องห้าม” และโชคดีมากที่ผู้เรียบเรียงบทละครคือนักเขียนคนเดียวกันกับที่แต่งเว็บตูน เรื่องราวในละครเลยยังคงไว้ตามในการ์ตูน การ์ตูนเรื่องนี้จบแล้ว คนที่เคยได้อ่านเว็บตูนมาก่อนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสนุกมาก และก็คาดหวังว่าละครจะทำออกมาได้สนุกเช่นกัน ซับไทยดูได้ที่แอปฯ Prime Video

พล็อตเรื่องของซีรีส์ใหม่นี้ก็ชัดเจนมากด้วยว่าเป็นเรื่องราวความรักของหนุ่มสาว มีรักแรก รักฝังใจ และรักสามเส้า พล็อตความรักว้าวุ่นใจมันช่างตื่นเต้น เหมาะกับสาวโสดหัวใจวัยรุ่นระยะสุดท้ายมาก ๆ แถมพ่วงด้วยความตลกขำขันที่นักแสดงแต่ละคนเล่นใหญ่แบบไม่อายตัวเองเลยล่ะ! โดยเฉพาะ พัคจูฮยอน ที่เรื่องนี้กลับมาสดใส เสน่ห์ล้นเหลือ เลิกอมทุกข์แล้ว
สำหรับเรื่องย่อ เป็นเรื่องราวรักสามเส้าระหว่างนักต้มตุ๋นสาวแห่งโชซอน ที่ได้ชื่อว่าไม่มีใครโกหกได้เก่งเท่า นางตั้งตนขึ้นมาเป็นแม่สื่อแม่ชักที่มีญาณวิเศษ แต่จริง ๆ แล้วแค่มีทักษะในการพูดโน้มน้าวใจคนให้เชื่อได้ง่าย ๆ ก็แค่นั้น นางหากินด้วยการเป็นสื่อรักลับ ๆ ให้กับบรรดาหนุ่มสาวโชซอน ซึ่งในเวลานี้เจอกฎเหล็กจากทางราชสำนักว่า “ห้ามแต่งงาน” มาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว เพราะกษัตริย์ได้สูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไป และยังคงตรอมใจอยู่ ไม่คิดจะแต่งงานใหม่ การคบหากันของหนุ่มสาวเลยเป็นเรื่องผิดกฎหมายบ้านเมือง ใครฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ
และแล้วนางเอกที่อ้างว่าตัวเองเป็นแม่หมอดูดวงเนื้อคู่ก็ถูกจับได้ เพื่อหาทางเอาตัวรอด นางจึงออกอุบายว่าตัวเองมีญาณทิพย์ที่สื่อสารกับผีพระชายา หรือก็คือคนรักของพระเอกที่ตายไปได้ พูดง่าย ๆ ก็คือโคตรจะแสบ ก๋ากั่น กะล่อนมาก ปากไว ไหวพริบเป็นเลิศ เลยหาทางออกจากสถานการณ์อันตรายด้วยการเล่นใหญ่จัดเต็มว่าถูกผีพระชายาเข้าซะเลย พูดคุยโบกไม้โบกมือให้อากาศเป็นตุเป็นตะ สุดท้ายก็ขายขำโบ๊ะบ๊ะหนักมาก

แต่ความวุ่นวายไม่จบอยู่แค่นั้น เพราะดันมีหัวหน้าหน่วยสืบสวนหลวงเข้ามาเกี่ยวพันในความสัมพันธ์นี้ด้วย กลายเป็นรักสามเส้าอย่างสมบูรณ์ (“รักสามเส้า” เขียนแบบนี้เด้อ) อีกทั้งภารกิจของนางเอกในยามนี้ คือต้องทำให้พระราชาเปลี่ยนใจ ยกเลิกกฎหมายห้ามแต่งงานให้ได้ เพราะชาวบ้านก็เดือดร้อน ลูกสาวแต่ละบ้านไม่ได้ออกเรือน แถมในเวลานี้ตัวละครทุกตัวก็ดูจะหวั่นไหวในความรู้สึกตัวเองซะแล้ว ในเมื่อทุกอย่างเริ่มต้นจากการหลอกลวง มันจะพัฒนาไปเป็นความรักสวยงามได้อย่างไร
แม้วันที่ทุกคนตราหน้าข้า ได้โปรดอยู่เคียงข้างข้าไปจนถึงที่สุดเถอะ
มีนิยามร้อยแปดพันเก้าที่บอกว่า “มิตรแท้” นั้นเป็นอย่างไร และซีรีส์เรื่อง The Forbidden Marriage ก็คงจะเป็นอีกเรื่องที่นอกจากความสนุกส่วนอื่น ๆ ของเรื่อง เรายังต้องมานั่งลุ้นอีกว่าคน 2 คนจะยึดมั่นในคำว่า “เพื่อน” ได้แค่ไหน จริง ๆ นี่ไม่ใช่ซีรีส์ย้อนยุคเรื่องแรกที่ให้ชายหนุ่ม 2 คนที่สถานภาพต่างกัน แต่เป็นเพื่อนรักกันมาแต่เด็กต้องมามีปัญหากันเพราะความรัก คนหนึ่งเป็นองค์ชาย ที่ในที่สุดก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาของแผ่นดิน ส่วนอีกคนเป็นแค่ลูกชายเสนาบดี ที่พอเติบใหญ่ก็รับราชการในแผ่นดินของเพื่อนตัวเอง บอกตรง ๆ ว่าซีรีส์ที่โปรโมตตั้งแต่แรกว่าจะขายขำ ทว่าพอมีสถานการณ์จริงจังเข้ามาให้น่ากระอักกระอ่วนมันก็รู้สึกหนักหน่วงไม่ใช่เล่นล่ะ

แล้วสถานการณ์หนักหน่วงที่ว่าก็ดันเป็นเรื่องของหัวใจเสียด้วย เรื่องของความรักมันยากที่จะตัดใจเสียสละ เชื่อว่าทีมพระรองทุกคนรู้ดีว่าสุดท้ายนางเอกก็เลือกพระเอกและพระรองคือคนที่เจ็บปวด (แต่คนดูจะโอบอุ้มพระรองไว้เอง ฮี่ ๆ) แต่กับพระรองเรื่องนี้คือให้คะแนนความอบอุ่นแสนดี น่าสงสาร น่าเอ็นดู และน่าเอาใจช่วยแบบคูณพันเข้าไปเลย (คะแนนนี้ฉันให้เอง) ถ้าเรื่องผู้หญิงจะไม่ทำให้เขาพลิกเป็นตัวร้าย เขาจะติดในทำเนียบพระรองที่อาภัพรักที่สุดอีกคน ใบ้ให้นิดหน่อยว่าทำไมเขาถึงน่าสงสาร เพราะเขาเจอนางเอกก่อนพระเอก รักนางเอกตั้งแต่แรกพบ และถ้าไม่มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นในวันนั้น พระรองกับนางเอกก็อาจจะได้รักกันไปตั้งนานแล้ว
แค่เปิดเรื่องมา เพื่อนรักก็ทักทายกันดุเดือดเลือดพล่านแล้ว ขันทีคนสนิทถึงกับหวั่น ๆ ว่าจะมีการนองเลือดขึ้นหรือเปล่า จนซังกุงต้องบอกว่าพวกเขา 2 คนเป็นเพื่อนกันมานาน คงไม่มีอะไรหรอก พวกเขาเป็นเพื่อนที่กล้าพูดความจริงต่อกันตรง ๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเจ้าเหนือหัว มิหนำซ้ำยังเข้าอกเข้าใจกันเรื่องความรักครั้งเก่าที่ยังลืมไม่ลงด้วย แต่พอนางเอกปรากฏตัวขึ้น ความเป็นเพื่อนของพวกเขาก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยสถานะของพระรองที่เป็นรองจนเทียบไม่ติด เขาจะกล้าทรยศเพื่อนและพระราชาเพื่อผู้หญิงที่ตนเองรักอย่างนั้นหรือ แล้วกษัตริย์จะเสียสละหรือยังไง ศึกชิงนางครั้งนี้จึงต้องไปเดิมพันที่นางเอกคนเดียว และก็นั่นแหละ แค่เรียกว่านางเอกก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าคู่ใคร

ท้ายที่สุดแล้ว ถึงจะเป็นเพื่อนรัก เป็นมิตรแท้ แต่ความรักที่มีต่อผู้หญิงคนเดียวกันมันจะนำพาไปถึงจุดแตกหักได้ไหม คนเราจะยังจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อเพื่อนได้แค่ไหน หากเพื่อนกลายเป็นศัตรูหัวใจขึ้นมา และเป็นเพื่อนประเภทที่มีอำนาจเด็ดขาด คำสั่งศักดิ์สิทธิ์จนกลายเป็นอาวุธสังหารคนได้ คำสัญญาที่บอกว่าไม่ว่าใครจะหันหลังให้หรือตราหน้ายังไง แต่ขอให้เพื่อนจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป จะถูกฉีกทิ้ง หรือถูกนำมาเป็นข้อต่อรองให้อีกฝ่ายต้องจำนนหรือเปล่า เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่สร้างวังวนรักสามเส้าได้น่าอึดอัดจริง ๆ พระรองแสนดีเวอร์ พระเอกก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรด้วย
การแต่งงานอาจเป็นบาปในยุคนี้ แต่การมีคนในใจไม่ใช่บาป

จริง ๆ มันชัดเจนมาตั้งแต่โครงเรื่องแล้วนะว่าซีรีส์เรื่องนี้เน้นที่เรื่องความรักแบบจุก ๆ ไปเลย ปมใหญ่ของตัวละครพระเอกและพระรองเป็นปมความรักที่ยึดติดอยู่กับอดีตไม่ยอมปล่อย แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานกว่า 7 ปีแล้วก็ตาม พระเอกสูญเสียพระชายาที่รักมากไป ถึงจะเห็นอยู่ชัด ๆ ว่านางแขวนคอ แต่เขาก็เชื่อว่าเมียตัวเองไม่ใช่คนประเภทที่จะฆ่าตัวตาย แถมยังพยายามแอบสืบเรื่องราวต่าง ๆ บนพื้นฐานว่าเมียตัวเองตายอย่างปริศนาด้วย วันดีคืนดีก็หลอนว่าเห็นผีเมีย เชื่อว่าวิญญาณของเมียยังคงวนเวียนอยู่ในวังหลวง แสดงให้เห็นเลยว่าเขารักพระชายามาก การออกกฎห้ามสมรสนาน 7 ปี ทำให้ราษฎรธรรมดาโกรธแค้นมาก เขาไม่ต้องการเห็นคนมีความรักกันเพราะเขายังคงเป็นทุกข์อยู่
ส่วนปมพระรอง เรื่องราวความรักแบบรักตั้งแต่แรกพบดูเหมือนจะสวยงาม ฮามากกับฉากที่เขาต่อบทสนทนากับว่าที่เจ้าสาวตัวเองซึ่งนางนั่งบ่นพึมพำอยู่คนเดียว ทั้งโบ๊ะบ๊ะทั้งเอ็นดู เขาเกือบจะเป็นคนที่มีความสุขและสมหวังในความรัก แต่แล้วในเช้าวันพิธีแต่งงานก็มาพบว่าเจ้าสาวของเขาถูกสลับตัว ในขณะที่เจ้าสาวตัวจริงหายไปไหนไม่รู้ ยังไม่ทันจะโวยวายกับครอบครัวเจ้าสาวจบ พระราชกฤษฎีกาห้ามสมรสก็ออกมาพอดี ซึ่งเป็นประกาศที่ออกมาเพื่อที่จะคัดเลือกพระชายาคนใหม่ เด็กสาวพรหมจรรย์จะถูกนำไปคัดตัว จึงห้ามมีการแต่งงาน กระทั่งองค์ชายขึ้นเป็นกษัตริย์ คำสั่งนั้นก็ยังคงอยู่มานาน 7 ปี การแต่งงานเป็นบาป ไม่มีใครในโชซอนได้แต่งงานถูกกฎหมาย มีแต่หลบ ๆ ซ่อน ๆ รักกัน

ชายหนุ่ม 2 คนเผชิญปัญหาความรักเหมือนกันในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คนหนึ่งไม่มูฟออนเรื่องเมียตายถึงขั้นว่าห้ามใครหน้าไหนทั้งนั้นแต่งงาน ตราบใดที่เขาก็ยังไม่แต่งงานใหม่และมีรักครั้งใหม่ไม่ได้ ส่วนอีกคนก็ยังคงตามหาเจ้าสาวตัวจริงที่หายไปอย่างไม่ลดละ กลายเป็นว่าจากนายน้อยหน่อมแน้มลูกชายเสนาบดี หันมาจับดาบเวลาเวลาที่จิตใจวอกแวก ฝึกศิลปะการต่อสู้จนรับราชการ ได้เป็นถึงหัวหน้าศาลหลวง เป็นนักสืบสืบหาตัวเจ้าสาวไปในตัว ชายหนุ่มทั้ง 2 มีหญิงสาวของตัวเองยึดครองพื้นที่ของหัวใจอยู่ จนกระทั่งได้มาเจอกับสาวแสบสุดก๋ากั่นอย่างนางเอกเข้า
ทำกับสาวใช้แบบนั้น รู้เลยว่าเป็นคนยังไง
“ถ้าเธออยากรู้ว่าคนคนนั้นเป็นคนยังไง ให้ดูวิธีที่เขาปฎิบัติต่อผู้คนที่ “ด้อยกว่า” ไม่ใช่ดูจากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อผู้คนที่ “เท่าเทียม” กัน” จริง ๆ คำพูดนี้เป็นคำพูดของตัวละครที่ถูกสมมติขึ้นมาเช่นเดียวกัน ถูกยกมาจากวรรณกรรมเยาวชนเรื่องดังจากตะวันตก “แฮร์รี่ พอตเตอร์” นั่นเอง เป็นคำพูดของซีเรียส แบล็ก จากหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี ในภาพยนตร์ ไม่แน่ใจว่ามีคำพูดนี้ไหม แต่ในเล่มหนังสือนิยายมีแน่นอน

เพิ่มเติมนิดนึง สำหรับแฟนวรรณกรรมเรื่องนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกเอ๊ะอยู่ไม่น้อย ที่ซีเรียสกล้าที่จะสอนแฮร์รี่แบบนี้ เพราะเรื่องราวในวัยเด็กของซีเรียสที่รวมหัวกับเจมส์ พ่อของแฮร์รี่แกล้งเซเวอร์รัสหนักมาก แน่นอนว่าไม่อาจหาเหตุผลหรือข้ออ้างดี ๆ มาพิสูจน์ว่าตัวเองทำถูก หรือมีความชอบธรรมใด ๆ ในการแกล้งคนอื่น แต่ทัศนคติคนเราเปลี่ยนได้เมื่อโตขึ้น และหากมีจิตสำนึกที่ตระหนักรู้ในความผิดที่ตัวเองเคยทำ ไม่ได้โกหกหรือปิดบังว่าตัวเองก็เคยเป็นคนไม่ดี เรียนรู้และพยายามแก้ไขให้ถูกต้อง ก็ใช้ประสบการณ์ตรงนั้นสอนคนอื่นได้
กลับมาที่ซีรีส์ต่อ ที่ยกคำพูดนั้นขึ้นมาก็เพื่อที่จะเสนอแนะวิธีมองคนชนิดที่ได้ผลเท่านั้นเอง ถ้าอยากรู้ว่าคนคนนั้นเป็นคนแบบไหน ให้ลองสังเกตวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่ด้อยกว่า หากเขายังคงสุภาพ ให้เกียรติ และปฏิบัติต่อคนผู้นั้นอย่างเท่าเทียม แบบที่มองว่าอีกฝ่ายก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ได้ใช้อำนาจข่มเบ่งหรือทำตัวเหยียดหยามหยาบคาย คนแบบนี้ถึงจะน่าคบ และถ้าเป็นไปได้ ควรจะใช้วิธีลอบสังเกตเอา เพราะผู้คนสมัยนี้เล่นละครกันเก่งเวอร์ วงการบันเทิงอะเนอะ การละครเต็มไปหมด ถ้าเตรียมตัวมาดี การแสดงเป็นคนดีต่อหน้าคนอื่น ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

สำหรับฉากนี้ ในเรื่องเป็นตอนที่พระรองแอบปลอมตัวเป็นคนงานเข้าไปที่บ้านของว่าที่เจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงานกัน มีการส่งหนังสือสู่ขอเรียบร้อย เหลือแค่รอเข้าพิธี ตัวพระรองไม่เคยเจอหน้าว่าที่เจ้าสาว เลยเดินตามทางในบ้านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพบกับเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังโวยวาย ก่นด่า และปาข้าวของใส่สาวรับใช้ ด้วยเหตุที่สาวใช้ทำงานไม่ได้ดั่งใจตัวเอง เขาเลยเผลอบ่นออกมาว่ารู้ได้เลยว่าเด็กคนนี้เป็นคนยังไง จากพฤติกรรมที่ทำกับสาวใช้แบบนั้น ดีที่ตัวเขาไม่เข้าใจผิดว่านางคนนั้นเป็นว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง
หากพูดในทางสังคม คนเราไม่มีทางเท่ากันหรอก และทุกสังคมมักจะมีการแบ่งชนชั้นเพื่อประโยชน์บางอย่างอยู่แล้ว พื้นฐานที่สุดคือเพื่อการปกครอง แต่ในทางนามธรรม มีเพียงแค่จิตใจเท่านั้นแหละที่ทำให้คนเรา “มีความเป็นคน” ไม่เท่ากัน อยากให้คนอื่นรับรู้ว่าเรามีจิตใจแบบไหน ก็จงทำตัวให้มีจิตใจแบบนั้นจนเป็นนิสัย เป็นคนดีทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้คน หากเจอกันโดยบังเอิญในช่วงลับหลังขึ้นมา ภาพลักษณ์ที่หมั่นสร้างภาพขึ้นมาว่าเป็นคนดีก็จะล่มสลายลง ธาตุแท้ถูกเปิดเผย ใครต่อใครจะพากันสาปส่งได้ว่าเป็นพวกหลอกลวงจอมปลอมชอบสร้างภาพ
3 อีพีที่ผ่านมา บอกเลยว่าจองตำหนักในวังหลวงดูต่อยาว ๆ แม้ว่ารักสามเส้ามันจะหนักหน่วงสุด ๆ แต่ก็เทใจไปอยู่ทีมพระรองเกินร้อย บอกก่อนว่าพระเอกไม่ได้ไม่ดี คิมยองแดคือหล่อและออร่าพระเอกมาเต็ม คาแรคเตอร์พระเอกที่เป็นพระราชาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ชอบความตลกโปกฮาแล้วถลึงตาโตของนาง
แต่ (ความชอบ) ส่วนตัวชอบโมเมนต์ความรักแบบพระรองมากกว่า เป็นอะไรที่เจอแล้วแพ้เลย แถมยังเป็นเรื่องแรกที่คิมอูซอกเขยิบขึ้นมาเป็นพระรอง ทั้งที่เพิ่งมีผลงานแค่ไม่กี่เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเบอร์รอง ๆ คือว่าถึงจะรู้อนาคตพระรองว่านางเอกไม่เลือก แต่ก็ยังอยากลุ้นว่าพวกเขาจะจัดการกับความรักของตัวเองยังไง❤️🩹





























