การที่คนจำนวนมากอยู่ร่วมกันในสังคมใหญ่ ย่อมหลีกหนีความแตกต่างและความวุ่นวายไม่พ้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะสังคมสมัยใหม่ที่คนเราต่างก็มีเป้าหมายให้พุ่งชน อยากที่จะประสบความสำเร็จกันเร็ว ๆ บ่อยครั้งที่เรามุ่งไปข้างหน้าโดยยึดตัวเองเป็นที่ตั้งเพียงเท่านั้น ในเส้นทางเห็นแค่ตัวเอง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่คนเราจะรักตัวเองทำเพื่อตัวเอง แต่บางครั้งการที่ทุกคนมุ่งหน้าไปหาสิ่งที่ตัวเองต้องการเพียงเท่านั้น มันก็ค่อนไปทางเห็นแก่ตัวมากเกินไป เพราะเราหลงลืมไปว่าเรายังมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ในสังคม แต่เราไม่สนใจ ไม่เห็นใครเลยนอกจากตัวเอง
ถึงอย่างนั้น สังคมก็ไม่ได้แข็งกระด้างขนาดนั้น มีบางครั้งที่เราจะเห็นการแชร์ภาพ แชร์คลิป แม้กระทั่งการแชร์ประสบการณ์เป็นเรื่องเล่าสั้น ๆ ที่เกี่ยวกับ “การมีน้ำใจให้แก่กัน” มีคนที่เป็นผู้ให้และผู้รับ และคนอื่น ๆ ก็เข้ามาร่วมยินดีและมีความสุขไปด้วย ที่ในหน้าฟีดที่เต็มไปด้วยข่าวประเภทคนหัวร้อนชักปืนยิงกัน ก็ยังมีคนใจดีที่พร้อมจะหยิบยื่นน้ำใจให้คนอื่นคั่นข่าวประเภทนั้นอยู่บ้าง จะเห็นว่ามันเป็นเหมือนกับสิ่งที่หล่อเลี้ยงให้สังคมไม่แห้งเหือดน้ำใจมากจนเกินไป และมันก็ทำให้โลกดูน่าอยู่ขึ้นมาอีกนิด เมื่อเห็นว่าคนที่ยังมีน้ำใจ ไม่ได้มีจิตใจเห็นเฉพาะประโยชน์ของตัวเองก็ยังมีหลงเหลืออยู่บ้างเหมือนกัน ซึ่งจริง ๆ การจะลองเป็นคนมีน้ำใจดูบ้างก็ไม่ได้ทำยากอย่างที่คิด
เริ่มจากการมองเห็นผู้คนรอบข้าง เห็นให้กว้างกว่าเป้าหมายของตัวเอง
ง่ายที่สุดของการฝึกการเป็นคนมีน้ำใจ คือเริ่มจากการเป็นคนที่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาให้เป็นก่อน มองเห็นคนรอบข้างอยู่ในสายตาบ้าง นอกเหนือจากเห็นเฉพาะเป้าหมายของตัวเองคนเดียวเท่านั้น เมื่อคุณไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะตัวคุณเองคนเดียว คุณก็จะเริ่มสังเกตเห็นว่าคนอื่น ๆ รอบข้างคุณเป็นอย่างไร เขาอาจจะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากหรือต้องการความช่วยเหลือบางอย่างอยู่ ซึ่งคุณเองก็มีจิตใจที่ไม่สามารถจะทนเมินเฉยต่อสัญญาณขอความช่วยเหลือนั้น ๆ ได้ จนในที่สุดก็ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเป็นการแสดงน้ำใจที่ทำได้ง่ายมาก
รู้จักเอาใจใส่ผู้อื่นให้เป็น
มากกว่าการมองเห็นตัวตนของคนอื่น คือการมองลึกเข้าไปในใจของพวกเขาด้วย ว่าลึก ๆ แล้วพวกเขาต้องการอะไร กับคนที่ใกล้ชิดกันอยู่ทุกวันเป็นสิ่งที่สังเกตได้ไม่ยาก ซึ่งไม่ใช่เห็นแล้วเห็นเลย แต่มีเมตตาจิตที่รู้สึกอยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือด้วยความปรารถนาดี อยากให้คนอื่นพ้นทุกข์หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ดีขึ้นจากเดิมที่กำลังเผชิญอยู่ ในฐานะคนคุ้นเคยกันที่มักจะรู้สึกไม่สบายใจเวลาคนรอบข้างมีปัญหา การที่ไม่เพิกเฉยต่อความทุกข์ร้อนของคนอื่น พร้อมจะแบ่งปัน หยิบยื่นสิ่งดี ๆ ให้ โดยไม่มองว่ามันไม่ใช่ธุระของตัวเอง แบบนี้เรียกว่าการเอาใจใส่กัน
เอาใจเขามาใส่ใจเรา
อีกขั้นของการเอาใจใส่ คือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดที่คนอื่นเป็น เพื่อที่จะได้รู้ว่าสถานการณ์ของคนอื่นมันแย่หรือเลวร้ายแค่ไหนในมุมของพวกเขา ซึ่งมันไม่ใช่แค่การคิดแบบเอาตัวตนของเราเข้าไปแทนตัวตนเขาเท่านั้นในสถานการณ์นั้น ๆ เท่านั้น แต่แทนตัวเราเองเป็นเขาในเรื่องของภูมิหลังและประสบการณ์ในอดีตที่ทำให้แต่ละคนมีความสมารถในการอดทนและรองรับแรงกระแทกของเรื่องต่าง ๆ ไม่เท่ากันด้วย เพื่อที่จะเข้าใจคนอื่นให้ได้มากที่สุด เพื่อการแสดงน้ำใจอย่างถูกกาลเทศะ ไมตรีจิตของการเข้าอกเข้าใจกันเป็นน้ำใจที่น่าประทับใจ
ลองเป็นผู้ให้ที่ไม่ได้คาดหวังว่าต้องได้อะไรกลับมา
จริง ๆ แล้ว น้ำใจอาจเป็นสิ่งเดียวในโลกที่คนเราสามารถมอบให้กันได้ฟรี ๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วผู้ให้ให้ไปโดยไม่ได้คาดหวังว่าต้องได้อะไรกลับคืนมา นั่นจึงเป็นเหตุให้เราสามารถมีน้ำใจให้กับคนแปลกหน้า คนที่ไม่รู้จักกันได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ทั้งที่รู้ว่าอาจจะไม่ได้เจอหน้ากันอีก และก็คงไม่มีใครคิดว่าคนแปลกหน้าจะต้องมาหาทางตอบแทนคืนให้ด้วย มันเป็นการเอื้อเฟื้อและช่วยเหลือกันในสถานการณ์นั้น ๆ เหตุการณ์จบทุกอย่างก็จบ แต่ความประทับใจจะจำได้ไม่ลืม ตัวผู้ให้ที่อาจเห็นรอยยิ้มและการค้อมหัวนิดหน่อยเพื่อแสดงคำขอบคุณ ส่วนตัวผู้รับคือการรู้สึกซึ้งในน้ำใจ
คุณจะเป็นคนที่น่ารักขึ้นและสังคมก็น่าอยู่ขึ้นอีกนิด
การเป็นคนมีน้ำใจ จะทำให้คุณดูน่ารักขึ้น สำหรับคนที่มักจะแสดงน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ ก็ไม่ต้องแปลกใจที่พวกเขาจะเป็นที่รักของคนรอบข้าง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน แต่คนที่เป็นผู้รับจะรู้สึกซึ้งในน้ำใจและรู้สึกขอบคุณไม่รู้ลืม ส่วนผู้ให้ก็รู้สึกมีความสุข ที่สำคัญ ในยุคสมัยและในสังคมที่เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นการแสดงน้ำใจกันบ่อย ๆ แต่พอมีมาให้เห็นแต่ละครั้ง มันก็ให้ความรู้สึกที่ดีต่อใจและรู้สึกอิ่มเอมได้ ต่อให้เราจะเป็นเพียงคนที่พบเห็นก็ตาม ไม่ว่าสังคมสมัยนี้จะเลวร้ายแค่ไหน เราก็ยังคาดหวังว่ามันจะดีขึ้นสักนิด ด้วยน้ำใจที่คนเรามีให้กันเท่านั้น