
24 ชั่วโมงแรกของคดี สะเทือนขวัญทั้งประเทศ
เช้ามืดของวันที่ 11 กรกฎาคม ร.ต.อ. สุวิทย์ แก้วปรีชา รองสารวัตรสอบสวน สภ.อ่าวลึก จ.กระบี่ รับแจ้งมีเหตุคนร้ายยิงคนในบ้านของผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายและเมื่อเข้าตรวจที่เกิดเหตุได้พบผู้เสียชีวิต 8 รายบาดเจ็บ 3 ราย
หลังจากเหตุร้ายแรงที่อ่าวลึก ได้ถูกส่งข่าวเข้าส่วนกลาง พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เปิดเผยความคบหน้ากับสื่อมวลชนก่อนแจ้งว่าจะลงไปติดตามคดีดังกล่าวด้วยตนเอง พร้อมตั้งข้อสังเกตุว่า
“ส่วนตัวมองว่าการก่อเหตุมีลักษณะการเตรียมการมา ก่อน เพราะขับรถมากัน 2 คัน มีการใช้เสื้อผ้าเพื่อเป็นการพรางตัว แต่ยังไม่ยืนยันว่า มีเจ้าหน้าที่ ข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ เนื่องจากเสื้อผ้าลายพรางคนทั่วไปก็สามารถซื้อมาใส่ได้”
“ยอมรับว่ากังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากเป็นเหตุอุกฉกรรจ์ มีผู้เสียชีวิตจำนวน มากและเป็นชาวมุสลิม ที่จะต้องเร่งตรวจชันสูตรพลิกศพเพื่อจะนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป ส่วนผู้รอดชีวิตและพยานเชื่อว่าตำรวจในพื้นที่ดูแลและคุ้มครอง ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการ เจ้าหน้าที่ทราบดีอยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร”
หลังจากฟังบรรยายสรุปจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า
“จากการตรวจสอบพบพฤติกรรมคนร้าย มีการแยกห้องในการสังหารทำงานอย่างมืออาชีพ และคนร้ายตั้งใจมาก่อเหตุนี้โดยเฉพาะปัญหาขณะนี้คือกล้องวงจร ปิดถูกจับให้เงยขึ้นทั้งหมดและถูกถอดฮาร์ดดิสก์ไปด้วยถือว่าอุกอาจมาก หลังจากนี้จะประชุมชุดทำงานเป็นการเร่งด่วน”
72 ชั่วโมงต่อมาในการตามล่าหาความจริง
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เข้าบัญชาการและอยู่ในพื้นที่ตลอดทั้งสัปดาห์
“สำหรับเบาะแสของคนร้ายตำรวจกำลังเร่งสืบสวน เบื้องต้นยังไม่สามารถสรุปสาเหตุหรือแรงจูงใจในการลงมือได้ แต่ยอมรับว่ามีข้อมูลรายงานเข้ามาเรื่อยๆ และได้กำชับแนวทางการสืบสวนสอบสวน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานติดตามจับกุมคนร้ายไปแล้ว”
“ส่วนกล้องวงจรปิดในพื้นที่สามารถจับภาพคนร้ายได้หรือไม่นั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้อยู่ในสำนวน ส่วนกรณีคนร้ายนำรถยนต์ของผู้ตายไปด้วยนั้นจะต้องมีการวิเคราะห์ทั้งหมดทุกมิติ ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะนำไปก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ ซึ่งคนร้ายจะเป็นคนนอกพื้นที่อื่นเข้ามาก่อเหตุหรือไม่ก็ยังสรุปไม่ได้เช่นกัน”
24 ชั่วโมงสุดท้ายที่ความจริงปรากฎ
หลังอยู่ในพื้นที่มาตลอดสัปดาห์ พล.ต.อ. จักรทิพย์ เดินทางกลับกรุงเทพฯในช่วงเช้าของวันที่ 15 กรกฎาคม ก่อนจะบินกลับไปอีกครั้งในช่วงเย็น
“เดินทางกลับจากจ.กระบี่ มายัง กทม.และเดินทางกลับเข้าพื้นที่จ.กระบี่อีกครั้งเพื่อเกาะติดคดี โดยล่าสุดชุดสืบสวนได้คุมตัวผู้ต้องหา ร่วมก่อเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้ได้แล้ว 2 คน อยู่ระหว่างคุมตัวเพื่อสืบสวนขยายผลหาผู้ร่วมก่อเหตุ”
“สำหรับผู้ต้องหานั้นสามารถจับกุมได้ทั้งหมดแล้ว โดยพบว่าเป็นบุคคลธรรมดาไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลมีสีเเต่อย่างใด เป็นเพียงนำชุดมาสวมใส่ให้เหมือนเจ้าหน้าที่เท่านั้น และมีบางรายที่เป็นคนพื้นที่ในจ.พังงา จึงรู้จุดเส้นทางในการนำรถยนต์คันดังกล่าวมาเผาเพื่ออำพรางปิดบังซ้อนเร้นของกลางหลังก่อเหตุ โดยหลังจากนี้จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปชี้จุดเกิดเหตุที่ 2 ซึ่งเป็นที่ผู้ต้องหานำปืนที่ก่อเหตุฆาตกรรมทั้ง 8 ศพมาฝังไว้”
“เจ้าหน้าที่ใช้เวลา 5 วัน ในการจับกุมคนร้ายกลุ่มนี้ โดยจากการสอบสวนสืบสวน พบว่า “บังฟัต” เป็นผู้วางแผนสังหารทั้งหมด ส่วนปมสังหารเกิดจากการขายฝากจำนองที่ดิน เมื่อปี 2559 นายวรยุทธ ได้เอาที่ดินจำนวนหลายแปลงมาจำนองกับ “บังฟัต” ซึ่งเป็นคนรับจำนองที่ดินและรถยนต์ ต่อมาเมื่อมีการนำเงินไปไถ่ถอนจำนองแล้ว ทาง “บังฟัต” กลับนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขายต่อ จึงเกิดปากเสียงกันจนถึงขั้นทั้งสองฝ่ายได้ขู่ฆ่าล้างตระกูลกัน จนกระทั่งมาถูก “บังฟัต” ลงมือสังหารก่อน”
“กลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุครั้งนี้ไม่มีซุ้ม เป็นคนธรรมดา บางคนอดีตเป็น รปภ. การก่อเหตุคือตั้งใจมาฆ่า ตั้งใจมาสร้างสถานการณ์ โดยจัดฉากว่าผู้ใหญ่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ มีปัญหาครอบครัวการเงิน จึงยิงคนในบ้าน บังฟัดรู้คนเดียว คิดอยู่คนเดียว แล้วหลอกลูกน้องมาร่วมก่อเหตุ บอกว่ามาทวงหนี้ เพราะบังฟัดเป็นนายทุนออกเงินกู้ ที่ดินที่ขายฝากกับคนตาย บังฟัดเป็นคนรับจำนำ พอผู้ใหญ่จะมาไถ่ถอนคืนบังฟัดก็ไม่มีโฉนดคืนให้ เพราะน่าจะขายทอดไปแล้ว จึงเกิดมีปัญหากัน ทางฝ่ายผู้ใหญ่บ้านก็เคยขู่จะฆ่าล้างโคตรบังฟัดเหมือนกันตั้งแต่ปี 59 คดีนี้เชื่อมั่นว่าเอาผิดได้ และเชื่อว่าศาลจะตัดสินประหารด้วย”
“ในตอนจับกุมผมภาวนาให้พวกเขาต่อสู้กับตำรวจจะได้ตายตกตามกันกับสิ่งที่กระทำ แต่อย่างไรผมเชื่อว่ากลุ่มนี้โดนประหารชีวิตอยู่แล้ว”
“สำหรับคดีนี้ เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานกันอย่างเต็มที่จนประสบความสำเร็จ ยืนยันว่าทุกคดีพยายามทำเต็มที่ ไม่ได้หลับได้นอน เพื่อเรียกศรัทธาประชาชน ดูแลความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรแอบแฝง แต่องค์กรตำรวจถูกด่าประจำ เรียกร้องให้มีการปฏิรูป หลังจากนี้ขยายผลถึงใคร เข้ากฎหมายข้อไหนเอาหมด”