“ครูโบนัส” ติวเตอร์เจนฯ วาย กับเทคนิคการสอนลูกศิษย์ที่ต่างเจนฯ

“แค่เรื่องภาษา” ทำไมต้องมีติวเตอร์? หลายคนคงสงสัยว่าทำไมปัจจุบันนี้ต้องมีติวเตอร์คอยช่วย support ในการเรียนด้วย เราจะมาบอกถึงเหตุผลทำไมปัจจุบันนี้อาชีพติวเตอร์มีเยอะ เพราะว่าติวเตอร์มีความสำคัญต่อ นักเรียน นักศึกษาเป็นอย่างมาก

คุณชนกพิมพ์ ชูชาติพงษ์ – ครูโบนัส ติวเตอร์คนเก่งจาก The genius tutor จบเกียรตินิยมอันดับ 1 คณะศิลปศาสตร์ วิชาเอกภาษาไทย วิชาโทภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหิดล เธอให้สัมภาษณ์กับคนต้นคิดว่า “ภาษา” เปรียบเหมือนเครื่องมือสื่อสารทางสังคมที่สำคัญมาก เป็นอย่างไรดูได้จากบทสัมภาษณ์นี้ค่ะ

การเป็นครูติวเตอร์ต้อง “โฟกัส” เรื่องอะไรเป็นหลัก

ในการสอนแต่ละครั้ง สิ่งสำคัญที่สุดในการ “โฟกัส” คือเรื่องการสื่อสารที่ชัดเจน เราจะมีการแบ่งเด็กออกมาเป็นกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเด็กเล็ก กลุ่มที่ต้องการติวเพื่อสอบ มีสอนเด็กสมาธิสั้นด้วย ตรงนี้ก็จะแบ่งความแตกต่างในเรื่องของอายุ ความพร้อมความต้องการของผู้เรียนที่แตกต่างอย่างชัดเจน เทคนิคการสอนจะดูตามลักษณะของผู้เรียนเป็นประเด็นหลัก

ยกตัวอย่างกลุ่มเด็กสมาธิสั้นเราต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ธรรมชาติของเด็ก ผู้สอนต้องมีทักษะในความอดทนสูง ต้องมีเทคนิคจิตวิทยาเข้ามาช่วยหรือเทคนิคการพูดเพื่อให้เด็กกลุ่มนี้ใจเย็นลงและพร้อมที่จะเรียนต่อได้อย่างไม่มีปัญหา โดยอาจมีเกมเข้ามาสอดแทรกเพื่อเป็นสิ่งที่แสดงให้นักเรียนรู้สึกว่าไว้ใจเรามากที่สุดและเปิดใจกับเรา

การเป็น “ครู” สำหรับโบนัสเอง ไม่ได้มุ่งเน้นที่จะสอนอย่างเดียว เด็กเป็นอย่างไรไม่สนใจแบบนี้จะไม่เกิดประโยชน์ทั้งกับตัวผู้สอนและผู้เรียนเลย การสอนที่ได้ผลต้องทำความเข้าใจตัวผู้เรียนเป็นหลัก เกิดการคุ้นชินเปิดใจและมีความพร้อมที่จะเรียน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด

และสิ่งสำคัญลำดับต่อมาคือการสื่อสารที่ชัดเจน ต้องให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายที่สุด และไม่ปล่อยผ่านในกรณีผู้เรียนเกิดความไม่เข้าใจ การสอนจะมีประสิทธิภาพมากถ้าเราสามารถประเมินผู้เรียนได้ว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่เราสอนหรือไม่ โดยเน้นจากการถามคำถาม หรือ ทุกครั้งที่มีคำถามจากผู้เรียนเองเราจะรู้สึกดีมาก เพราะมันบ่งบอกถึงความใส่ใจของผู้เรียนในสิ่งที่เราสอน อยากเรียนรู้ อยากทำความเข้าใจในบทเรียนที่เราถ่ายทอดไป

“ภาษา” สำคัญอย่างไร

สำคัญที่สุดเลยค่ะ ภาษาเปรียบเหมือนเป็นเครื่องมือทางสังคม เป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างกัน ซึ่งปัจจุบันการสื่อสารมีการพัฒนาไปไกลมาก ปัจจุบันมีอินเตอร์เน็ตที่ช่วยย่อโลกของการสื่อสารให้ง่ายและสะดวกขึ้นมาก ๆ เพราะฉะนั้นภาษาสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการฟัง การพูด อ่านและเขียน ซึ่งมนุษย์ต้องใช้ 4 ทักษะนี้มาเสริมสติปัญญา พัฒนาความรู้ต่าง ๆ เพื่อมาประกอบอาชีพของเรา ยกตัวอย่างที่เราคุยกันอยู่ตอนนี้ก็ต้องใช้ภาษา รวมไปถึงการพัฒนาบุคลิกภาพต่าง ๆ ก็ต้องใช้ภาษาเช่นกัน ภาษามีความสำคัญสำหรับโอกาส ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้น ภาษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคนทุกชาติ

Attitude สำคัญขนาดไหนในการพัฒนาตัวเองของการเป็นครู

เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดค่ะ เริ่มจากทัศนคติและ Mindset (กรอบความคิด) เราก่อน อาชีพครูต้องเป็นแก้วที่สามารถเติมน้ำได้อยู่เสมอค่ะ ต้องเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา เพราะครูต้องเป็นผู้รู้ตลอดเวลา เมื่อใดที่เรามีโอกาสได้เรียนรู้ความรู้ใหม่ สิ่งใหม่ ต้องรีบตักตวงให้มากที่สุด อย่ากลัวหรือปิดกั้นตัวเอง บางคนอาจคิดว่าความรู้ที่ตัวเองรู้แค่นี้พอแล้ว แต่สำหรับโบนัสคิดว่าความรู้เป็นสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้แบบไม่มีที่สิ้นสุดเลยค่ะ

อย่างการสอนชาวต่างชาติ เขาจะถามถึงเทรนด์ของภาษาเราทุกวัน เราต้องอ่านข่าว อัปเดตศักยภาพ พัฒนาการเป็นครูของเรา สรุปเลยนะคะ การเป็นครูในเรื่องของการพัฒนาตัวเอง ต้องเป็นแก้วที่เติมน้ำได้ตลอดเวลา เปิดรับสิ่งใหม่ตลอดเวลา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ครูทุกคนควรใส่ใจ ส่วนตัวโบนัสคิดว่าต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราอยากเป็นเด็กที่นั่งเรียนกับครูแบบไหน เราก็ต้องเป็นครูแบบนั้น ดังนั้น การเข้าใจเด็กแต่ละกลุ่ม แต่ละคนเป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจที่จะเรียนรู้มาก ๆ เมื่อเราเกิดความเข้าใจอย่างดีแล้ว จะทำให้เราสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนได้มากที่สุด

ความยากง่ายในการเตรียมการสอนคนไทยกับชาวต่างชาติต่างกันอย่างไร

เรื่องการเตรียมการสอนยกตัวอย่างคนไทย ต้องแบ่งตามความต้องการและตามวัยของผู้เรียน กลุ่มที่ต้องสอบเข้าระดับต่าง ๆ ของคนไทยจะค่อนข้างจำกัด มีเตรียมความรู้รอบตัว ต้องมีจิตวิทยาในการสอน แต่สำหรับชาวต่างชาติเองจะน่าสนใจมากเพราะสิ่งที่สอนเป็นเรื่องของการอัปเดตเทรนด์ต่าง ๆ ข่าวสารต่าง ๆ และเรื่องของวัฒนธรรมในแต่ละชาติเป็นหลัก ในการสอนชาวต่างชาติเราต้องรู้ว่าวัฒนธรรมของแต่ละชาติเป็นอย่างไรสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ เช่น ชาวโปแลนด์บอกกับเราว่า เขาเป็นฤๅษี เราก็ต้องมาหาความรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาพูดหมายอะไร

ฤๅษีของชาวโปแลนด์คือผู้ที่ไม่แต่งงาน ถือพรหมจรรย์ ถือศีลปฏิบัติ นั่งสมาธิ เป็นการเตรียมการสอนที่สนุกทำให้เราได้เรียนรู้ความแตกต่าง ได้เรียนรู้มุมมองชีวิต ได้แลกเปลี่ยน เหมือนเราได้เปิดโลกเรียนรู้ไปพร้อมกับการสอนของเรา ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนเลยคือเรื่องเนื้อหาของการสอน กับกลุ่มเรียนที่แตกต่างกัน นอกจากนี้เราต้องสอดแทรกประสบการณ์ด้านต่าง ๆ ประสบการณ์ชีวิต เพราะการเรียนแค่ในห้องเรียนไม่พอ เราจะสอนนอกเหนือจากเนื้อหา อยากให้ผู้เรียนได้ความรู้ครบทุกด้าน

ความต่างของ Generation มีการสอนที่แตกต่างกันอย่างไร

มีความต่างค่อนข้างมากทีเดียวค่ะ นักเรียนที่มาเรียนมีอายุต่ำสุดตั้งแต่ 2 ปี และสูงสุด 78 ปี ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร ไม่มีใครแก่เกินเรียน ถ้าเรามีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจเรียนรู้ ชาวสวิตเซอร์แลนด์ในวัย 78 ปีเป็นนักเรียนที่เก่งมาก ๆ จากที่ไม่รู้อะไรเลย เรียนขั้นพื้นฐานตั้งแต่ ก-ฮ ปัจจุบันสามารถอ่านบทความยาก ๆ ได้หมดแล้ว

ส่วนเจนฯ ที่สอนยากที่สุดคือเด็กเล็ก ความต่างคือเทคนิคการสอนและบรรยากาศในการเรียน ต้องเตรียมการสอนต่าง ๆ ให้เหมาะกับผู้เรียนในแต่ละชั้นปี เด็กเล็กต้องมีจิตวิทยาในการสอน และเทคนิคในการดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจในการเรียนสูงมาก เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เป็นโจทย์ที่เราต้องทำการบ้านว่าเราจะสอนให้เขาเข้าใจได้อย่างไร และเขาต้องสนุกกับการเรียน เป็นการเรียนที่ไม่น่าเบื่อ อยากเรียนกับเรา ในส่วนเจนฯ ที่โตขึ้น จะเน้นการสอนเรื่องเนื้อหา สอนอย่างไรให้เขาเข้าใจง่าย และสามารถเอาไปใช้ได้จริง

ครูต้องแบกรับ “ความคาดหวัง” ต่าง ๆ ไว้มากมาย

เจอสถานการณ์นี้บ่อยมาก ๆ แต่เราต้องตั้งโจทย์กับตัวเองว่าเราต้องไม่กดดันตัวเอง แต่พยายามทำให้ดีที่สุดในหน้าที่ของตัวเอง ต้องทำด้วยความสุขและเราจะสามารถทำออกมาได้ดี ถ้าเรากดดันตัวเองมากเกินไปเราจะเกิดความเครียดและสิ่งที่เราถ่ายทอดออกมาก็อาจไม่ดี เด็กที่เรียนกับเราก็อาจจะเกิดความเครียดด้วยเช่นเดียวกัน เราก็จะมีการพูดคุยกับผู้ปกครองว่าเราจะไม่กดดันน้อง จะไม่บีบหรือบังคับน้อง เพราะมันจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดี เมื่อไรก็ตามที่เราสอนด้วยความสุข สอนด้วยความชอบของเรา ผลก็จะออกมาในรูปแบบที่เราวางไว้

“เจ้าของภาษา” ใช้ภาษาผิด ๆ คิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร

ความที่เราเรียนและรักในภาษา ต้องบอกตรง ๆ ว่ารู้สึกหงุดหงิดเหมือนกันค่ะ ในส่วนของคำผิดจะเห็นคนเขียนผิดกันมาก เช่น คำว่า “วัฒนธรรม” ที่มี “ม์” คำว่า “สถานการณ์” เขียนว่า “สถานกาณร์” แต่พอเรามาทำงานด้านนี้ เราต้องแยกประเด็น เพราะวิวัฒนาการของภาษาไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องใช้ให้ถูกกาลเทศะ ต้องใส่ใจในคำผิดมากขึ้น สิ่งที่เจอคือเป็นเรื่องที่แย่มากเป็นการสะกดผิดที่ไม่ได้เช็กหรือตรวจทานก่อนเลย แต่จะมีอีกประเภทที่ตั้งใจสะกดผิดเพื่อความแปลกตา หรือสะกดเพื่อแสดงอารมณ์ ในลักษณะนี้ถ้าเป็นคนไทยด้วยกันเองก็สามารถเข้าใจได้ สามารถใช้ได้กับกลุ่มเพื่อน สังคมออนไลน์ ในบริบทที่ไม่ได้เป็นทางการ แต่ถ้าเมื่อไรต้องใช้เป็นทางการ ไปใช้คำพวกนี้ในการใส่ซับไทเทิลการแปลภาษา เราก็รับได้ในจุดหนึ่ง

เรื่องกาลเทศะของการใช้ภาษาเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องคำนึงถึง แต่ในทางกลับกันของชาวต่างชาติเองเขาจะไม่เข้าใจในรูปภาษาที่เปลี่ยนไป เป็นลักษณะภาษาวิบัติเพื่อเสียง วิบัติเพื่อความสนุก ฝรั่งมาอ่านคำที่คนไทยเขียนก็เกิดความไม่เข้าใจ เกิดคำถามตามมามากมาย เช่นคำว่า “เคบับ” ฝรั่งเข้าใจว่ามันคือไก่แท่ง ๆ ใช่ไหม คนไทยคะนองเรื่องการใช้ภาษา แต่ชาวช่างชาติไม่เข้าใจในสิ่งที่เราสื่อสาร ทำให้เกิดการเข้าใจผิด แต่พอได้เรียนรู้หรืออธิบาย เขาก็จะเข้าใจว่าคำพวกนี้คือคำแสลง วิบัติเพื่อเสียง

เรามองว่าวิวัฒนาการเรื่องภาษาไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่ว่าเราต้องใช้ให้ถูกกาลเทศะ ถูกกับสถานการณ์ แต่ถ้าเราไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงเลยวันนี้เราอาจต้องเรียกห้องน้ำว่า “เว็จ” ก็ได้ อยากให้คนไทยตระหนักถึงความเหมาะสมในการใช้ และใส่ใจในเรื่องของการสะกดคำนิดหนึ่ง เช่นคำว่า “นะคะ นะค่ะ” ไม่มีใครพูดผิด แต่พิมพ์ผิด ซึ่งคิดว่าเป็นการใช้ตาม ๆ กันมา แต่ก็มีประเด็นถกเกียง บางคนก็บอกว่าไม่เข้าใจในเรื่องการผันวรรณยุกต์ จริง ๆ แต่กำลังเรียนรู้อยู่ เข้าใจว่าภาษาสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ แต่รากภาษาก็ต้องอนุรักษ์ไว้เช่นเดียวกัน

ฝากแง่คิดของการเป็นครูผู้สอนกับการใช้ภาษา

ในฐานะที่เป็นครูรุ่นใหม่ “ภาษา” เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในการสร้างโอกาสดี ๆ ให้กับเรา “ภาษาไทย” เป็นภาษาที่เราใช้กันในประเทศ ประเทศเดียว เป็นภาษาที่มีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งเดียว อยากให้เราเอาใจใส่มากที่สุด หันมาใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง รู้จักการใช้ให้ถูกกาลเทศะในทางที่สร้างสรรค์ สิ่งเหล่านี้สามารถสร้างโอกาสดี ๆ ให้กับตัวเราได้เยอะเลยนะคะ นอกจากภาษาไทยแล้วปัจจุบันนี้เทคโนโลยีย่อโลกให้เราแล้ว เราต้องหาความรู้ในภาษาอื่น ๆ ด้วย เพราะเป็นเรื่องของการทำงาน ยิ่งเก่งหลายภาษายิ่งมีโอกาสดี ๆ ให้กับตัวเองมากขึ้น เรียกได้ว่า “ภาษาเป็นใบเบิกทางสำหรับโอกาส” บางคนกลัวที่จะเรียนภาษา เราอยากให้เอาชนะความกลัวของตัวเอง ด้วยการพูดและการฝึกฝน แต่จงอายตัวเองเพราะไม่พัฒนาและความกลัวมาฉุดรั้ง จนทำให้เราพลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิต