ขึ้นชื่อว่า Netflix คิดว่าหลาย ๆ คนคงรู้สึกว่าเชื่อมั่นได้ส่วนหนึ่งว่าเจ้านี้มักจะปล่อยแต่ของดี ๆ งานที่ออกมาส่วนใหญเป็นงานคุณภาพ ส่วนน้อยที่คนไม่ดูมันก็คงมี แต่ถ้าคนทั่วโลกเขาพร้อมใจกันดูจนมันขึ้นเป็นอันดับ 1 คิดว่าก็ควรจะลองเปิดดูนะ แม้ท้ายที่สุดจะชอบหรือไม่ชอบก็ตามและจะดูจนจบเรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้
นั่นล่ะค่ะ อย่างที่บอกว่า Netflix ไม่ปล่อยให้เราว่างจากอาการประสาทหลอนทางจาก Squid Game นาน ก็ปล่อยซีรีส์แนวดิสโทเปียออกมาอีกแล้ว ที่สำคัญคือเวลานี้ขึ้นแท่นซีรีส์ที่มีผู้ชมมากที่สุดอันดับ 1 ไปแล้ว แต่ครั้งนี้ ไม่ต้องข่งต้องแข่งเกมอะไรทั้งนั้น แค่รับสาส์นจากพระเจ้าที่กำหนดมาเลยว่าจะให้ใครตาย และไม่ใช่แค่ตายธรรมดา ๆ นะ ส่งไปลงนรกด้วยจ้า…ฉันจะลงโทษเธอ
Hellbound หรือชื่อภาษาไทยใน Netflix ก็คือ ทัณฑ์นรก เป็นซีรีส์ที่สร้างจากเว็บตูนชื่อเดียวกัน (ฉบับการ์ตูนจบแล้ว มีแปลภาษาไทย) เรื่องราวของโลกมนุษย์ที่กำลังประสบกับปรากฏการณ์แปลก ๆ มีคนส่วนหนึ่งได้เจอเข้ากับสิ่งที่เรียกว่าทูตสวรรค์ ลงมาส่งสาส์นที่เป็นประกาศิตจากพระเจ้าว่าเขาจะต้องตายในวันนั้นวันนี้ เวลาเท่านั้นเท่านี้ ขอจงเตรียมตัวไว้ ไม่เพียงแค่ตายธรรมดา ๆ (โลกไม่จำ) เขาจะถูกพระเจ้าลากไปลงนรกด้วย โดยนรกที่ว่าก็คือเผามันให้เห็นจะ ๆ อย่างนั้นแหละ
เมื่อถึงตามกำหนด สิ่งที่คิดว่าเป็นพระเจ้าก็จะมาตามนัด โดยปรากฏกายเป็นสัตว์ร้ายร่างสูงใหญ่หน้าตาเหมือนคิงคอง ที่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันเป็นตัวอะไร มันจะกระโจนเข้าทำร้ายเหยื่ออย่างบ้าคลั่ง แบบที่แทบจะฉีกร่างออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อได้เวลาอันสมควร ก็จะปล่อยแสงสีขาวที่มีความร้อนสูงเพื่อเผาร่างเหยื่อจนเหลือแต่ซากกระดูกที่ไหม้เกรียม สภาพหลังจากสัตว์ประหลาดจากไป คือศพของเหยื่อที่ดำเป็นตอตะโกค้างอยู่ในท่าก่อนตาย
ปรากฏการณ์นี้ถูกตีความโดยกลุ่มลัทธิหนึ่งที่ชื่อว่าสัจธรรมใหม่ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อ้างตัวเป็นเป็นผู้นำลัทธิ แล้วเที่ยวป่าวร้องให้ผู้คนได้รับรู้ เหมือนศาสดาเผยแผ่ศาสนา หลังจากเหตุการณ์สาธิตในที่สาธารณะที่มีคนนับร้อยเห็นกับตา และอีกจำนวนมากก็ถ่ายคลิปไปด้วย ก็เริ่มที่มีผู้คนที่หันมาให้ความเคารพนับถือมาก ยิ่งมีเหตุการณ์ที่แม่บ้านคนหนึ่งได้รับสาส์นจากพระเจ้าเช่นกัน กลุ่มสัจธรรมใหม่จึงต้องการจะจัดรายการสาธิตการลงทัณฑ์จากพระเจ้าแบบถ่ายทอดสด ออกอากาศทั่วโลกให้คนเห็น เพื่อให้คนเชื่อในทัณฑ์จากพระเจ้า เป็นไปตามคาด ไลฟ์สดนั้นทำให้คนจำนวนมากเชื่อในพระเจ้าเพียงชั่วข้ามคืน และหันมานับถือเด็กหนุ่มผู้นำลัทธิว่าเขาเป็นคนของพระเจ้า
มีคนจำนวนมากคล้อยตามหันมานับถือลัทธิสัจธรรมใหม่ หลายคนก็กลายเป็นสาวกหัวรุนแรงที่คลั่งไคล้ในการกระทำของสิ่งที่เรียกว่าเป็นพระเจ้ามาก ถึงขั้นทำร้ายและฆ่าคนได้ โดยอ้างว่ามันคือการเดินตามรอยการพิพากษาของพระเจ้า ทำให้ผู้คนยิ่งบ้าคลั่งและโกลาหลมากขึ้นไปอีก ทว่าก็มีคนส่วนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อและกังขาในการกระทำของพระเจ้าที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ในการลงทัณฑ์มนุษย์ จึงพยายามลุกขึ้นมาพิสูจน์ สวนทางกับคนจำนวนมากที่เชื่อไปแล้ว จึงเกิดเป็นเหตุการณ์ที่คนทำร้ายกันเพราะเชื่อไม่เหมือนกัน
นี่แหละ ที่ทำให้ ณ เวลานี้ ประกาศิตจากนรกก็ขึ้นชาร์ตซีรีส์ที่มีผู้ชมชมมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกใน Netflix หลังจากที่ดูแล้วก็พอจะเข้าใจว่าทำไมถึงขึ้นเป็นอันดับ 1 ได้ แต่หลังจากที่ไปอ่านคอมเมนต์ตามเพจที่รีวิวต่าง ๆ ก็พบว่าดิฉันอาจจะเป็นคนส่วนน้อยในประเทศนี้ที่ว่าเรื่องนี้มันก็สนุกดี แต่ไม่ถึงกับชอบ เพราะพยายามจะทำให้ชอบยังไงก็ไม่ไหว บางตอนโหดกว่าเกมปลาหมึกอีก ฉากความรุนแรง ความโหดร้ายต่าง ๆ ที่เหี้ย.มสุดไม่ใช่พระเจ้าที่ไหนหรอก คนกันเองเนี่ยแหละ
ส่วนตัวคิดว่านี่เป็นงานดีอีกชิ้นหนึ่งของเกาหลีเลยนะ มันอาจจะงงก็จริง ตัวซีรีส์เหมือนทำสงครามประสาทกับคนดู แต่ถ้าดูให้มันได้อะไรมันได้จริง ๆ นะ อาจต้องพยายามคิดตามให้มากหน่อย มันเลยเครียด แต่เข้าใจแหละว่าหลาย ๆ คนคงเหนื่อยจะใช้สมอง อยากดูอะไรเพื่อความบันเทิง แต่เรื่องแนวนี้มันไม่ได้มีเพื่อความบันเทิงฉาบฉวย มันทำให้เราได้พยายามคิด สงสัย และตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าอยากดูบันเทิงจัดเต็ม ดูเรื่องอื่นก็ได้ไม่ว่ากัน
ด้วยความที่ต้นเรื่องเดิมมันเป็นเว็บตูนมาก่อน เรื่องก็จะเวอร์วังหน่อย ๆ ใครที่ชอบเรื่องแนว ๆ ที่ต้องใช้สมองคิดตามเยอะ ๆ แล้วก็ต้องไม่กลัวความโหดร้าย (ทั้งจากสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าและจากมนุษย์ด้วยกันเอง) อยากให้เปิดใจลองดู
เมื่อความกลัวสร้างคนดี สร้างโลกใบใหม่แบบอุดมคติ
แนวคิดและหลักคำสอนของกลุ่มสัจธรรมใหม่ คือการพิสูจน์ให้มนุษย์ทุกคนเห็นว่าผู้ก่อบาปสมควรถูกพระเจ้าลงโทษ ด้วยความที่กฎหมาย (ที่มนุษย์สร้างขึ้น) มันไม่ศักดิ์สิทธิ์พอที่จะทำให้คนกลัว อย่างคนที่กระทำความผิด พอถูกตำรวจจับ ก็มักจะมีคำอ้างเพื่อแก้ตัวสารพัด ทำไปเพราะจำเป็นจำใจ เพราะความแร้นแค้น เพราะความไม่เท่าเทียม หรือแม้แต่อ้างว่ามีความบกพร่องทางจิตใจ เพราะดื่มเหล้าเมายาสติไม่สมบูรณ์ พออ้างอะไรแบบนี้บางทีก็ได้รับอภัยโทษ ติดคุกไม่กี่ปีออกมาก็ก่อเหตุซ้ำ โทษทางกฎหมายไม่สาสมกับความผิดที่ก่อ
ในขณะเดียวกัน พระเจ้าคือผู้ที่จะสามารถลงโทษคนบาปที่สูญสิ้นความละอายใจ ไร้จิตสำนึกได้อย่างสาแก่ใจ หากพระเจ้าประสงค์ กำหนดวันตกนรกของคนเหล่านี้แล้วล่ะก็ คนพวกนี้ก็จะหนีไม่พ้น ก่อนตายพวกเขาจะต้องเจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน และในท้ายที่สุด พระเจ้าจะส่งพวกเขาไปลงนรก ด้วยเพลิงแห่งนรกที่ทำให้ศพไหม้เกรียม เหลือแต่ตอดำ ๆ เท่านั้น แน่นอนว่าถ้าคนคนนั้นก่อคดีร้ายแรงมากจริง ๆ คนคงรู้สึกสะใจมากกว่าที่จะสงสาร และคงไม่รู้สึกเอะใจอะไรด้วยซ้ำไป เชื่ออย่างสนิทใจว่า พระเจ้าต้องการให้ “มนุษย์เที่ยงธรรมกว่านี้”
แต่สำหรับบางคน มันก็มีข้อกังขาว่าเขาทำบาปกรรมอะไรนักหนาถึงต้องตกนรก ต้องมารับบทลงโทษแบบนี้จากพระเจ้า ความอยุติธรรมยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก เพราะคนส่วนใหญ่ที่เชื่องมงายในพระเจ้าไม่ได้รู้สึกสงสัยว่าคนคนนี้ผิดอะไรขนาดนั้นถึงต้องตกนรก แต่กลับเลือกที่จะประจานว่าเป็นคนบาปที่ไม่ยอมสารภาพบาป เชื่อว่าบาปทั้งที่ไม่รู้ว่าบาปอะไร ยังไม่พอ คือการตราหน้าคนอื่น ๆ ในครอบครัวของคนคนนั้นด้วยว่ามีญาติพี่น้องเป็นคนบาป จนพวกเขากลายเป็นเป้าหมายของพวกที่คลั่งลัทธิ ที่คิดแบบเหมารวมว่า มันก็คงเป็นคนบาปทั้งครอบครัว
ตรงจุดนี้แหละที่ทำให้คนเริ่มกลัว แต่หาได้กลัวบาปไม่ แค่กลัวว่าจะถูกลงโทษแบบประจานคนทั้งโลก กลัวครอบครัวเดือดร้อน กลัวตกนรก คนจึงหันมาศรัทธาและปฏิบัติตามคำสอนของกลุ่มนี้ ที่ชี้นำว่าการลงโทษจากพระเจ้าแบบนี้จะทำให้คนไม่กล้าก่อบาป เมื่อคนไม่กล้าก่อบาป คนก็จะกลายเป็นคดีและเที่ยงธรรม เมื่อทุกคนเป็นคนดี ก็จะก่อกำเนิดโลกใบใหม่ที่ไร้ซึ่งคนเลวนั้นเอง โลกที่เราใฝ่ฝันถึงจะมาถึงได้ แค่ศรัทธาในพระประสงค์ของพระเจ้า
อันที่จริง สิ่งที่กลุ่มสัจธรรมใหม่พยายามจะใช้สอนคน มันก็เป็นหลักตรรกะธรรมดา เพียงแต่พยายามจะให้มนุษย์เชื่อเพราะรู้สึกกลัว มากกว่าจะให้มนุษย์เชื่อด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ มันไม่ใช่การพยายามอบรมหรือปลูกฝังให้มนุษย์เชื่อมั่นในความดี ทำดีด้วยใจตัวเอง แต่เป็นการห้ามก่อบาปเพราะเดี๋ยวจะถูกลงโทษ มนุษย์กลัวบาปของตัวเองว่าจะนำไปสู่การลงโทษ มากกว่าการเชื่อในการทำดี
คลั่งลัทธิ ความเชื่อที่เปลี่ยนเป็นความงมงาย เชื่อได้อย่างไร้สติ
ถ้าจะมีความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งที่ทำให้คนกลุ่มใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นเรื่องจริง แล้วก็ปฏิเสธที่จะเปิดใจรับข้อมูลด้านอื่น ๆ มาประกอบการพิจารณาและตัดสินใจ มันก็คงไม่แปลกที่จะมีพวกที่คลั่งความเชื่อพวกนั้นแบบหัวรุนแรง ทำตัวเป็นสาวกผู้จงรักภักดีแล้วออกล่าแม่มด อ้างตัวได้ว่าเป็นผู้ช่วยพระเจ้า มุ่งเดินตามการพิพากษาของพระเจ้า สร้างความชอบธรรมเอาเองว่าการล่าตัวคนบาปและคนที่ต่อต้านพระเจ้าไม่ใช่เรื่องผิดบาป แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ขึ้นมา ก็พระเจ้านั่นแหละผิด! (ก็พระเจ้ายังพิพากษาแบบนี้เลยนี่นา)
ดูแล้วอาจจะเห็นอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมจริง ๆ คนสมัยนี้พร้อมที่จะเชื่อข้อมูลทุกอย่างที่ถูกป้อนใส่หัว ขอแค่เป็นสิ่งที่ถูกจริตหรือตรงกับใจคิดก็พอ ถ้าเชื่อแบบธรรมดา ๆ ยังพอเปิดใจฟังคนอื่น หรือคิดไปในวิธีคิดแบบอื่นถึงความเป็นไปได้บ้าง มันก็มีโอกาสกู่กลับ แต่ถ้าไม่ ก็จะกลายเป็นสาวกที่ติดกับความเชื่อนั้นจนไปไหนไม่ได้ ไม่มองอะไรอื่นที่ผิดแผกไปจากนั้น เข้าขั้นคลั่ง งมงาย ใครเห็นต่างเป็นต้องกำจัด
ในซีรีส์ที่พอจะมีให้รู้สึกตื่นเต้นก็ตรงที่เจอพวกสาวกคลั่งลัทธินี่แหละ เพราะมันเป็นช่วงที่อธิบายถึงการมีอยู่ของพระเจ้าหรือบทบาทของพระเจ้าได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องมีบทพูดหรือแสดงอะไรออกมา (ความเห็นส่วนตัว) ส่วนช่วงที่เป็นตัวประหลาดรูปร่างหน้าตาคล้ายคิงคองที่พระเจ้าส่งมาจัดการคนอันนั้นดูแล้วรู้สึกเฉย ๆ แค่แอบตกใจเวลานางโผล่มา (เสียงดังเกิน ฮ่า ๆ) ในเรื่องนี้มีฉากความรุนแรงอยู่มากพอสมควร ความรุนแรงที่มนุษย์ทำต่อกันเองเพื่อกำจัดคนเห็นต่าง เพราะมันเป็นวิธีที่จะทำให้บนโลกเหลือแต่คนที่คิดแบบเดียวกันง่ายที่สุดแล้ว
ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกที่เราจะเลือกข้าง การให้อำนาจพระเจ้ากับการกังขาว่าเรื่องของมนุษย์พระเจ้าควรจะเข้ามาแทรกแซงไหม หรือมีเกณฑ์อะไรที่สุ่มมอบประกาศิตว่าคนนั้นคนนี้เป็นคนบาป จะต้องตาย จะต้องตกนรก แต่เหมือนว่าการต่างคนต่างเดิน หรือสันติวิธีอาจไม่ใช่ทางออกหรือไงถึงต้องทำร้ายกันขนาดนั้น (หมายถึงในซีรีส์) ซึรีส์จะทำให้เราค่อย ๆ เห็นว่าจริง ๆ แล้วปรากฏการณ์ที่กลุ่มสัจธรรมใหม่เข้าใจว่าเป็นการล้างบางคนบาป เป็นการกำจัดคนบาปจริง ๆ หรือคนกลุ่มนี้แค่ผูกขาดการตีความปรากฏการณ์นี้อยู่ฝ่ายเดียว ถ้าใครตีความต่างก็อยู่ไม่ได้
ท้ายที่สุด สัญชาตญาณดิบของมนุษย์ คือการเอาตัวรอด
ทุกอย่างล้วนพิสูจน์ให้เห็นอีกด้านหนึ่งได้จนกว่ามันจะไม่มีอะไรมาหักล้างได้แล้ว ถ้าสิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้อดทนรอจนถึงวันนั้นหรอก รีบตัดสิน รีบเลือกข้างกันไปก่อนแล้ว ในขณะที่คนที่พยายามจะพิสูจน์ก็พยายามไปเถอะ ชีวิตก็ไม่ปลอดภัย เพราะอีกฝ่ายที่เชื่อจนคลั่งก็น่ากลัวเหลือเกิน ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามค่อย ๆ พิสูจน์ต่อไป ด้วยหวังว่ามันจะสำเร็จสักวัน ถ้าไม่ยอมแพ้หรือถูกฆ่าตายไปก่อน (และมีผู้สานต่อเพราะเรื่องมันคงไม่จบแค่ในรุ่นเรา)
แต่ธรรมชาติของมนุษย์ รักตัวกลัวตายและกระหายการเอาตัวรอด บางสิ่งบางอย่างที่รู้ว่าแตะไม่ได้ แตะแล้วชีวิตไม่ปลอดภัย ก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกที่เขาจะกลัวและไม่อยากเข้าไปยุ่ง ในอีพี 3 คือคำตอบที่ชัดเจนว่าถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ หรือให้คนที่ตัวเองรักมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขก็ต้องเลือกที่จะปล่อยผ่าน แต่ถ้าไม่ก็ต้องสูญเสีย ไม่ว่าจิตใจมนุษย์จะลึกลับซับซ้อนแค่ไหน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็ยังทำงานอยู่ตลอดเวลา และมันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว
แต่ มันก็จะมีคนบางคนที่พร้อมที่จะสู้ไปจนสุดทาง แบบตัวละครในเรื่องที่ใช้ชีวิตเดนตายเหลือเกิน ขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้ ขอแค่ได้พิสูจน์ความจริง ขอแค่ได้ผดุงความยุติธรรมให้กับคนอื่น ๆ ที่ถูกพิพากษาแบบไม่เป็นธรรม ขอแค่ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของกลุ่มสัจธรรมใหม่ และขอแค่ยังมีคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้ตัวละครนั้นประกอบอาชีพนั้นหรอกมั้ง
ก็ไม่แปลกใจที่จะมีหลายคนบ่นว่าซีรีส์เรื่องนี้ดูแล้วงง ดูไม่รู้เรื่อง จับต้นชนปลายไม่ถูก ง่วง ถ้าจะดูแล้วไม่เข้าใจ คิดตามไม่ทันก็ไม่ใช่เรื่องแปกอะไร คนที่พยายามดูให้เข้าใจยังปวดหัว แต่ก็ไม่ควรไปโจมตีว่าเป็นงานห่วย (เห็นในคอมเมนต์ที่รีวิวซีรีส์เรื่องนี้) ถ้าคุณดูแล้วไม่เข้าใจเอง ไม่ชอบก็แค่เปลี่ยน ปิด ควรหาวิธีเอาตัวรอดในแบบของตัวเอง ไม่ต้องโจมตีอะไร ชีวิตน่าจะง่ายกว่า ถ้าคนอื่นเขาอยากรู้ให้เขาดูเอง ตัดสินเอง ไม่ต้องทำตัวเป็นพระเจ้าตัดสินแทน
รีวิวคร่าว ๆ ก็ คือ Hellbound เป็นซีรีส์ที่สร้างตัวละครพระเจ้าขึ้นมาบนโลกดิสโทเปียเพื่อลงทัณฑ์คนชั่ว (?) ล้างบางโลกที่มนุษย์มีแต่ความชั่วร้าย สร้างความน่ากลัว สิ้นหวังให้คนกลัวจนไม่กล้าทำอะไร (เพราะกลัวว่าจะบาป) เพื่อให้เกิดโลกยูโทเปียขึ้นมา อ้างพระเจ้าเพื่อเข่นฆ่าคนอื่น แต่ไม่เน้นว่าคนเราควรจะใจดี ทำดีแก่กันมากกว่าเพื่อให้โลกน่าอยู่ “ไม่รู้หรอกว่าพระเจ้าเป็นคนยังไงแล้วก็ไม่สนด้วย สิ่งหนึ่งที่รู้ชัดเจนคือที่นี่เป็นโลกของมนุษย์ โลกของมนุษย์…มนุษย์ก็ต้องจัดการกันเองสิ” และถ้าตอนจบจะพีคขนาดนี้ ก็รีบมีภาค 2 ต่อเลยสิคะ! ?