Light On Me ซีรีส์วายสุดละมุน ต้าวความน่ารักเต็มไปหมด

ภาพจาก WeTV Thailand

เข้าสู่ครึ่งปีหลังของปี 2021 เรียบร้อยแล้ว วันเวลาเดินไวมาก แต่ดู ๆ แล้วแทบไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรเลยตลอด 18 เดือนที่ผ่านมา ก็หวังในใจว่าสถานการณ์มันจะดีขึ้นซักที เบื่ออยู่แต่บ้านจะแย่แล้ว อยากไปเที่ยว (เกาหลี)

เพราะตลอดช่วงเวลาที่ต้องใช้ชีวิตกว่า 90 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่บ้าน ก็ได้ความบันเทิงจากเกาหลีนี่แหละที่เยียวยาจิตใจ สารพัดคอนเทนต์ทั้งซีรีส์ รายการวาไรตี้ รายการเพลง คอนเสิร์ต ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ารูปแบบการนำเสนอมันต่างจากบ้านเราโดยสิ้นเชิง ถึงจะดูเพราะผู้ชายเป็นหลัก แต่ผู้ชายก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ตัดสินใจจะเสพอะไรต่ออะไร ถ้ามันไม่สร้างสรรค์ ผู้ชายหล่อแค่ไหนก็ทำใจดูไม่ได้จริง ๆ

เช่นเดียวกันกับซีรีส์เกาหลีวายเกาหลีที่บุกตลาดวายอย่างหนักในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา สำหรับคอซีรีสเกาหลีจะเห็นว่าหลัง ๆ มามีซีรีส์วายเกาหลีตีตลาดถี่มาก ขนาดที่สังคมเกาหลีจะยังไม่เปิดรับเรื่อง LGBT แต่ถือว่าเกาหลีมาไกลมากที่กล้าผลิตคอนเทนต์วายออกสู่ตลาด ถึงจะมุ่งตลาดต่างประเทศเป็นหลักก็ตาม ฉะนั้น ช่องทางในการออกอากาศซีรีส์วายเกาหลีจึงมักเป็นช่องทางออนไลน์ และไม่ใช่ช่องทีวีหลัก ๆ ของเกาหลี

ก็เลยเลยมาคิดดูว่าถ้าวายส่วนใหญ่ในบ้านเรายังเน้นเลิฟซีนมากเกินไป คงไม่แคล้วโดนแย่งตลาดแน่ ๆ คนที่ไม่ชอบการเล่าเรื่องแบบนั้นมีอยู่มาก เขาตระหนักได้ว่าการจะทำวายเป็นที่ยอมรับ มันมีวิธีนำเสนอตั้งมากมาย ไม่จำเป็นต้องเอะอะจูบ เอะอะลงเตียง ทุกวันนี้แทบไม่ได้ขายเนื้อเรื่อง แต่ขายฉากความรักแรง ๆ และคู่จิ้นมากกว่า

นำเสนอความวาย ไม่จำเป็นต้องขายเลิฟซีนมากจนเกินงาม

วายตั้งแต่ย่อหน้าแรกขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องดูซีรีส์วายมาแน่ ๆ Light On Me เป็นซีรีส์วายเกาหลีเรื่องที่ 3 หรือ 4 นี่แหละที่เปิดขึ้นมาดู จริง ๆ คือไม่ใช่สาววาย แต่ชอบดูวิธีการนำเสนอเรื่องของซีรีส์วายต่างประเทศมากกว่าว่าไปในแนวไหน คือ เขาแทบไม่ได้สื่อเรื่องโยนลงเตียงอะไรเลย ไม่ยัดเยียดความรักแบบดูรุนแรง บทสนทนาชวนคิดเรื่องอย่างว่าอย่างเดียว ดูแล้วก็เลยอดที่จะอมยิ้มตามไม่ได้ มันดูเขิน ดูน่ารัก มูดแอนด์โทนคือละมุน ไม่กระอักกระอ่วน ถึงพล็อตเรื่องจะแบบเดียวกันก็เถอะ แต่ความรู้สึกคือต่างกันจริง ๆ

ภาพจาก WeTV Thailand

Light On Me เป็นซีรีส์วายที่สร้างจากเกมมือถือที่มีชื่อว่า “Saebit Boys High School Council” และต่อมาได้ดัดแปลงเป็นเว็บตูน จนกลายมาเป็นซีรีส์ในที่สุด เป็นเรื่องราวของเด็กวัยมัธยมปลายโรงเรียนชายล้วน เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบยุ่งกับใคร และคิดว่าการมีเพื่อนไม่ได้จำเป็นกับชีวิต แต่จู่ ๆ ก็มีเหตุการณ์ให้เขามาคิดทบทวนกับตัวเอง ว่าการที่เขาเป็นนแบบนี้ (ทำตัวเป็นคนไม่มีเพื่อน) มันจะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ จนในที่สุด เขาก็ตัดสินใจพังกำแพงที่กั้นระหว่างตัวเองกับคนอื่นไว้ คิดอยากจะมีเพื่อนขึ้นมา

ซึ่งมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่ต้องทำสิ่งที่ปกติไม่ทำ ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร เขาจึงไปปรึกษาครูที่ปรึกษา ครูก็พาเขาเข้าร่วมสภานักเรียน ด้วยเหตุผลว่าหากคิดจะเริ่มต้นสร้างมิตรภาพ ควรเริ่มจากเด็กดี ๆ ก่อน ที่นั่นเขาก็เจอกับคนที่ไม่ชอบหน้าเขาอย่างแรง ปากร้าย เย็นชา แต่จิตใจไม่มีอะไร และปฏิเสธที่จะรับเขาเข้าสภา แต่มีเหรอที่นายเอกเราจะยอมแพ้ ปฏิบัติการเอาชนะใจเพื่อเข้าสภานักเรียนจึงเริ่มขึ้นนับตั้งแต่บัดนั้น

แค่อ่านเรื่องย่อ กลิ่นพ่อแง่แม่งอนของพระเอกนายเอกก็ฟุ้งมาแต่ไกล ส่วนใหญ่ซีรีส์วายก็มีสูตรสำเร็จอยู่แล้ว เปิดมาคือต้องไม่ชอบหน้ากันปานจะฆ่ากันตาย พอทำความรู้จักกันก็ถึงจะชอบกัน มันอาจจะเป็นพล็อตง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน น่าเบื่อ แต่ชีวิตจริงคนเรามันไม่ต้องซับซ้อนทุกวันก็ได้ไง แค่เรื่องของคนไม่เคยมีเพื่อนที่คิดอยากจะมีเพื่อน ก็สามารถเอามาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวได้

ภาพจาก WeTV Thailand

พอเจอซีรีส์วายที่ขายเลิฟซีนมากจนรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะดู กลายเป็นว่าทำให้คนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้นมองความวายไปในแง่ลบมากกว่าอีก ทั้งที่จุดประสงค์หลักของการทำซีรีส์วาย คือการทำให้คนยอมรับตัวตนของคนกลุ่มนี้ ว่าเขาไม่ใช่พวกที่ผิดแผกแปลกประหลาดจากคนอื่น หรือค่าความเป็นคนน้อยลงเพราะรักร่วมเพศ หรือสมควรถูกกีดกันจากสังคมที่กำหนดว่าเพศต้องมีแค่ชาย-หญิง เท่านั้น

พอซีรีส์นำเสนอเรื่องตัวตนและความรักของพวกเขาไปในทิศทางนั้น ก็ไม่แปลกที่จะมีคนมองกลุ่มคนรักร่วมเพศในแง่ลบ ออกแนวเป็นพวกหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอย่างว่า การนำเสนอจากสื่อมันไม่ค่อยจะสร้างสรรค์แต่แรก ก็ยากที่คนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายจะเปิดใจยอมรับ ไม่ได้จะว่าคนที่ชอบเสพอะไรแบบนั้น มันเป็นรสนิยม แต่ต้องพิจารณาว่าเอาเรื่องของเขามาหากิน ก็ควรสนับสนุนให้คนนอกเปิดใจให้พวกเขา ไม่ใช่มองแย่กว่าเดิม คนกลุ่มนี้มีในสังคมจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้หมกมุ่นอยู่แค่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แบบที่ซีรีส์สื่อ ถึงคนดูจะมีวิจารณญาณแยกแยะได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใจกว้าง

ไม่เคยลองทำ แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันดีหรือไม่ดี

ด้วยความที่เรื่องมันค่อนข้างจะเล่าเร็ว มันก็เลยไม่ค่อยขยี้ปมนี้เท่าไรนัก แต่ก็พอจะเห็นความสับสนว้าวุ่นใจของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กลับมาคิดทบทวนตัวเองว่าตัวเองจะไม่เป็นไรแน่เหรอ ที่ต้องอยู่ในสังคมแบบคนไม่มีเพื่อน ไม่เป็นไรแน่เหรอที่ทำตัวเป็นคนนอก ปฏิเสธมิตรภาพจากคนอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา เพียงเพราะไม่กล้าที่จะก้าวข้ามคอมฟอร์ทโซนของตัวเองมาลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ

ภาพจาก WeTV Thailand

พอเขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาคุ้นเคยทุกวันกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เขาไม่เคยคิดว่าการไม่มีเพื่อนเป็นเรื่องแปลก แต่วันนี้มันกลายเป็นเรื่องแปลก เขากลับไม่คุ้นเคยสิ่งปกติที่เป็นมาทุกวัน อีกทั้ง ณ เวลานั้น ก็มีคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขาจริง ๆ จัง ๆ เป็นครั้งแรก สนับสนุนให้เขาเป็นคนสำคัญ เขาเลยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองในชั่วข้ามชั่วโมง ชนิดที่ตัวเองยังแปลกใจว่าทำไมถึงตัดสินใจเร็วแบบนั้น

เอาจริง ๆ เราเคยลองพิจารณาดูบ้างไหม ว่าอะไรที่เราเคยมั่นใจว่าจะไม่ทำ เป็นเรื่องไม่จำเป็นที่ต้องทำ เบื้องหลังของการปฏิเสธที่จะไม่ทำมันคือความกลัว คนทั่วไปไม่ค่อยอยากยอมรับหรอกว่าตัวเองกลัว นั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคนเรา คือการยอมรับความกลัวของตัวเอง

ภาพจาก WeTV Thailand

จะบอกว่าชอบการใช้สัญลักษณ์ที่ซีรีส์ใช้เป็นบทเรียนในประเด็นนี้ ซีรีส์ใช้ “ถั่ว” คนที่เลือกเขี่ยถั่วออกจากอาหารด้วยเหตุผลว่าก็แค่ไม่กิน ไม่ใช่ไม่ชอบหรือว่าแพ้อะไรแบบนั้น ทำให้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถั่วมันรสชาติยังไง จึงตัดสินด้วยความชอบไม่ชอบไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่ามันมีอะไรให้ชอบและมีอะไรที่ต้องไม่ชอบ ซีรีส์ใช้ถั่วเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างนักเรียนและครูที่ปรึกษาว่าที่ไม่กินถั่วก็แค่เลือกกิน แต่วันนี้แค่อยาก “ลอง” กิน พอได้รับรู้รสชาติแล้วก็รู้ทันทีว่ามันไม่อร่อยหรอก แต่…มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด ดีกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ

ฉะนั้น บทเรียนที่ได้ก็คือ ไม่ใช่ว่าอย่าเป็นคนเลือกกิน แต่ให้ลองกินดู รสชาติมันอาจดีกว่าที่คิดก็ได้ แค่ “ลองทำ” สิ่งที่ปกติไม่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ใครจะรู้ อาจมีเรื่องสนุก ๆ ก็ได้

มิตรภาพ คือ สิ่งที่มนุษย์ต้องการ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้นแล้ว มันเป็นไปได้จริง ๆ เหรอที่คนคนหนึ่งจะไม่มีสังคมเลยแม้แต่สังคมเดียว มันคงจะอ้างว้างเดียวดายน่าดู การมีโลกส่วนตัวสูงหรือพอใจกับการอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะผิดถ้าไม่คิดที่จะ “เปิดใจ” ให้คนรอบตัวเลย ทั้งที่เขายื่นมือเขามาเพื่อหวังฉุดเราจากความโดดเดี่ยวด้วยซ้ำ แต่เราเลือกจะผลักมือเขาทิ้ง แบบนั้นไม่ใจร้าย ใจแคบไปหน่อยเหรอ

ภาพจาก WeTV Thailand

จากการที่นายเอกเราเริ่มคิดได้และอยากที่จะมีเพื่อน เขาได้รู้จักกับสมาชิกสภานักเรียน 3 คน ที่มีบุคลิกแตกต่างกัน คนแรก คือ ประธานสภานักเรียน ผู้ที่ยิ้มเก่ง อ่อนโยน อ่อนหวาน ดูแลคนอื่นอย่างดีเสมอ จึงทำให้เขาเป็นที่รักในหมู่เพื่อนฝูง และคนอื่น ๆ ในโรงเรียนชายล้วนนี้ คนที่สอง คือ หัวหน้างานอาสา เป็นคนตลกเข้ากับคนง่าย หูตากว้างไกล จึงรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงเรียน และคนสุดท้าย คือ รองประธานสภานักเรียน เขาคือคนที่คุม 2 คนก่อนหน้าได้ หัวรั้น ปากแข็ง จิตใจดี ทำให้บุคลิกภายนอกดูไม่น่าคบเท่าไร และนี่คือคนที่คาดเดาว่าคือพระเอกของเรื่องนี้

เมื่อคนปากแข็งกับคนที่เข้าหาคนอื่นไม่เป็นมาเจอกัน ย่อมมีปะทะคารมกันเป็นธรรมดา ความน่ารักก็เกิดขึ้นตอนที่พวกเขาเถียงกันนี่แหละ ทีนี้ก็ต้องดูว่าต่างคนจะเปิดใจให้กันอย่างไร แต่ใบ้ให้นิดนึงว่ามันมีเหตุผลที่ทำให้ 2 คนนี้ไม่ถูกชะตากัน และอยากให้ลองดู โบ๊ะบ๊ะมาก ผู้ชายคนหนึ่งที่เข้าไปพัวพันกับผู้ชายอีก 3 คน โดยที่หนึ่งในนั้นมีรักแรกของเขาด้วย เป็นความฟินแบบละมุน ๆ นึกถึงบรรยากาศสมัยเรียน

เราไม่อาจอยู่ในสังคมได้โดยไม่พึ่งพาอาศัยคนอื่น และมิตรภาพนี่แหละที่จะเป็นใบเบิกทางให้เราได้มีเพื่อน แต่เพื่อนแท้หรือเพื่อนเทียม เพื่อนกินหรือเพื่อนตาย ก็ต้องไปพิจารณากันอีกที ถึงอย่างนั้น คนเราก็ควรมีเพื่อนแท้ เพื่อนตายให้ได้ซักคนนะ ถึงมันจะน้อย แต่เราจะรู้สึกขอบคุณที่มีเขาอยู่ในชีวิต

ภาพจาก WeTV Thailand

Light On Me จึงเป็นซีรีส์วายอีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้ได้ดูกัน ฉายได้ 2 ตอนแล้ว (จาก 16 ตอน) ตอนสั้น ๆ ไม่เกิน 20 นาที นักแสดงแต่ละคนน่ารักมาก ตัวนายเอกมีบางมุมที่ดูคล้ายชาอึนอูอยู่เหมือนกัน (พวกลูกรักพระเจ้า) แล้วจะเริ่มเปิดใจว่าซีรีส์วายก็ไม่ใช่ซีรีส์เฉพาะกลุ่มเสมอไป ในความเป็นจริง พวกเขาก็อยู่ในสัวคมเดียวกับเรา ฉะนั้นแล้ว เราทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนกันได้ อย่างน้อย ๆ ก็ “เพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน”

ชีวิตนี้ คงไม่มีใครอยากจะเป็นคนไม่มีตัวตน ที่คนอื่นถามเสมอว่า “นี่ใครอะ?” หรอก ?‍?‍?