Work from Home ปลอดภัยจาก COVID-19 แต่ระวัง 5 ปัญหานี้

สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในรอบใหม่นี้ยังถือว่าน่าเป็นห่วง และไม่ควรชะล่าใจ เพราะไม่สามารถวางใจได้เลยว่าจะลดความรุนแรงลงในเร็ววันนี้ การรับผิดชอบตัวเองจึงเป็นการช่วยสังคมได้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้การระบาดยุติหรือเบาลง ยิ่งเร็วเท่าไร ชีวิตเราก็จะกลับมาใกล้เคียงปกติได้เร็วขึ้นเท่านั้น

มาตรการขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่บ้าน หรือให้ผู้ประกอบการอนุญาตให้พนักงาน Work from Home จึงกลับมาอีกครั้ง เพื่อพยายามจำกัดวงจรการแพร่รระบาด อย่างไรก็ดี ใช่ว่าการนั่งทำงานอยู่ที่บ้านจะมีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะถึงการอยู่บ้านจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ COVID-19 ได้ไม่มากก็น้อย แต่การทำงานอยู่กับบ้านก็เสี่ยงจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นตามมาได้เช่นกัน แน่นอนว่าอาการเหล่านี้อาจไม่ได้ร้ายแรงเท่า COVID-19 แต่ก็สร้างความทุกข์ทรมานเรื้อรังได้

ถ้าอย่างนั้น เราลองมาดูกันหน่อยดีกว่าไหมว่าปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการ Work from Home มีอะไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้ไม่ประมาทและระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น ป้องกันดีกว่ารักษา ดูแลตัวเองให้ปลอดภัยไม่ว่าจะจากโรคใด ๆ ก็ตาม

ออฟฟิศซินโดรม

เป็นอาการปวดเมื่อยที่สุดแสนจะทรมานประจำตัวพนักงานออฟฟิศอยู่แล้ว ซึ่งอาการนี้เกิดจากการที่เราใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมอย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้มีการปวดเรื้อรัง ชาบริเวณแขนหรือมือ เนื่องจากเส้นประสาทส่วนปลายถูกกดทับต่อเนื่อง ปวดคอ บ่าไหล่ หรืออาจพบอาการผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติร่วมด้วย คือ รู้สึกวูบ เย็น เหน็บกิน ขนลุก เหงื่อออก หรือชาบริเวณแขน อ่อนแรง สาเหตุก็มาจากการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ท่าเดียวเป็นเวลานาน ไม่ค่อยจะได้ขยับเขยื้อนร่างกาย และการทำงานที่บ้านก็ทำให้เรานั่งติดที่ได้นานกว่าเดิม

เพราะฉะนั้น เพื่อไม่ให้อาการออฟฟิศซินโดรมแย่ลงทั้งที่ไม่ได้ไปออฟฟิศ จนต้องเจ็บปวดทรมานทั้งกายและใจมากกว่าเดิม ก็ควรที่จะขยับร่างกาย ลุกขึ้นมาเปลี่ยนอิริยาบถให้บ่อยขึ้น อย่างน้อย ๆ ก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ แกว่งแข้งแกว่งขาบ้างก็ยังดี ถ้าพอมีเวลาว่าง ก็ออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง ปรับสภาพแวดล้อมโต๊ะทำงานหรืออะไรอื่น ๆ ให้นั่งได้ถูกท่าที่สุด ถ้าหากอาการรุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อที่จะได้ยืดกล้ามเนื้ออย่างถูกวิธี

อ้วน

ยิ่งโต๊ะทำงานใหญ่เท่าไร ก็มีโอกาสที่จะวางของกินได้มากขึ้นเท่านั้น หลายคนหอบของกินมาวางตุนไว้ที่โต๊ะทำงานก่อนจะเริ่มทำงาน เพราะขี้เกียจลุกไปหยิบเวลาทำงานเพลิน ๆ หรือกลัวเสียเวลาอะไรก็ตามแต่ ทำงานเพลินก็หยิบกินเพลิน กินเพลินกว่าทำงานอีก หรืองานยิ่งเครียดก็ยิ่งอยากเคี้ยว กว่าจะรู้ตัว อาหารตรงหน้าก็เปิดกินจนครบทุกอย่างแล้ว ไหนจะพวกน้ำหวาน ๆ ข้างมือ พอรู้สึกน้ำตาลตกก็ยกดื่ม ไม่ต้องจินตนาการต่อเลย เพราะการทำงานที่บ้านนั้น เราเองก็ขยับเขยื้อนร่างกายน้อยกว่าการออกจากบ้านไปทำงานข้างนอกอยู่แล้ว

ถ้าไม่อยากจะอวดหุ่นอ้วนเพละหลังจากที่เปิดงาน ก็ต้องควบคุม ต้องวางแผนการกินให้ดี ไม่นั่งทำงานทั้งวันโดยไม่ลุกไปไหน ของกินมีติดโต๊ะได้ไม่ผิด แต่ควรพิถีพิถันในการเลือกเปลี่ยนเป็นผลไม้ ธัญพืช ดาร์กช็อกโกแลต นม หรือโยเกิร์ตแทน วางแผนเวลาการกินแต่ละมื้อ มื้อที่ใกล้เข้านอนก็กินเป็นของเบา ๆ เน้นอิ่มแต่ไม่เน้นพลังงาน อย่าตามใจปาก และพยายามเลิกกินอาหารจุบจิบนอกเหนือจากมื้อหลัก

เครียด

หลายคนทราบดีว่าการอยู่บ้านแบบออกไปไหนไม่ได้ หรือไม่จำเป็นอย่าออกดีกว่า มันจำเป็นต่อการใช้ชีวิตในยุคนี้ แต่ก็ต้องยอยมรับว่ามันสร้างความเครียดมหาศาล เพราะเราไม่ได้ไปทำกิจกรรมที่ชอบหรือกิจกรรมที่ปกติเราสามารถแวะทำได้หลังเลิกงาน บวกรวมกับเรื่องงานที่ก็เครียดไม่แพ้กัน การสื่อสารงานบางอย่างไม่สะดวกเท่าการเห็นหน้างาน ปริมาณที่มากงาน หลายคนก็ทำงานเกินเวลางาน เวลาพักผ่อนน้อย แบบนี้บ่อย ๆ นาน ๆ เข้า ความเครียดมาเยือนแน่นอน

นอกจากนี้ ภาวะเครียดยังเป็นจุดเริ่มต้นของอาการทางร่างกายอื่น ๆ อีกหลายอาการ อย่างเช่น การพัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้า การพัฒนาไปสู่อาการปวดหัวรุนแแรง และโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ ฉะนั้น ควรสังเกตตัวเองว่าเข้าสู่ภาวะเครียดจนต้องผ่อนคลายแล้วหรือยัง วิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือ ถ้าตัวเองเริ่มที่จะไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ ก็แปลว่าความเครียดถาโถมเข้าให้แล้ว ต้องหาทางบำบัดด่วน เริ่มจากวิธีคลายเครียดง่าย ๆ ที่ทำได้ด้วยตนเอง พูดคุยกับเพื่อนฝูง แต่ถ้าเกินต้าน ก็ต้องไปพบแพทย์

ท้องไส้ปั่นป่วน

ปัจจัยหลักมาจากการที่เรากินอาหารไม่ตรงเวลา หลาย ๆ คนพอเห็นว่าตัวเองนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องบังคับตัวเองให้กินใหตรงมื้อ ออกแนวหิวเมื่อไรก็กินเมื่อนั้นเสียมากกว่า แถมบางคนทำงานเพลินโดยไม่ดูเวลา รู้ตัวอีกทีคือฟ้ามืดแล้ว ทั้งที่ข้าวกลางวันยังไม่ได้กิน โดยใครที่มีอาการของโรคกรดไหลย้อนอยู่แล้วก็ยิ่งต้องระวัง เพราะการกินอาหารไม่ตรงเวลาอาจทำให้อาการกำเริบขึ้นมาได้ นอกจากนี้ยังมีอาการท้องอืด ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องผูก หรือแม้แต่การได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ

ทั้งนี้หลายคนดื่มน้ำน้อย เพราะขี้เกียจลุกไปเข้าห้องน้ำ ก็ส่งผลต่อระบบขับถ่ายเช่นกัน และยังต้องระวังอาการกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ใหญ้อักเสบด้วย ถ้าเรากำลังเพลินกับการทำงาน แล้วไม่ได้ปวดมากขนาดกลั้นไม่ไหว ก็จะไม่ค่อยลุกไปเข้าห้องน้ำ บางคนกลั้นยาวจนหายปวดเลยก็มี นี่ไม่ใช่พฤติกรรมสุขภาพที่ดีแน่นอน เพราะฉะนั้น อย่าฝืนธรรมชาติของร่างกาย ของเสียก็ต้องไปเอาออกตามที่ถึงเวลา

คอมพิวเตอร์วิชันซินโดรม

กิจวัตรประจำวันปกติเราก็มีกิจกรรมที่เป็นอันตรายต่อดวงตาอยู่แล้ว แต่การที่เราแทบไม่ได้ออกเดินทางไปไหน สีเขียวต้นไม้ สีฟ้าท้องฟ้าก็ยังแทบไม่ได้เห็น เพราะวัน ๆ อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม จ้องแต่คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ จนทำให้มีอาการปวดตา ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน ต่าง ๆ นานา ซึ่งถ้าไม่รีบดูแลดวงตาของตัวเองก็อาจจะมีอาการผิดปกติรุนแรง ถึงสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรเลยก็ได้

ถึงจะรักงานห่วงงาน แต่ก็ห่วงดวงตาตัวเองด้วย ควรจัดที่นั่งให้เว้นห่างจากหน้าจอคอมประมาณ 50-70 เซนติเมตร ปรับขนาดตัวหนังสือ ปรับความสว่างของหน้าจอให้พอดี ก็จะช่วยลดการทำงานของดวงตาไปได้มาก และควรพักสายตาอย่างน้อยทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ฝึกบริหารกล้ามเนื้อดวงตา ด้วยการกลอกตาไปมา หรือจะงีบหลับสัก 15 นาทีในช่วงพักก็ดีเหมือนกัน ทั้งนี้ อาหารอะไรที่ดีต่อการบำรุงสายตา ก็หากินเข้าไปบ้างจะช่วยได้อีกเยอะ