
เหตุก่อการร้ายสองครั้งในช่วงเวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียวที่เมืองแมนเชสเตอร์ และ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษนั้น แม้จะสร้างความตกใจให้กับคนทั่วโลก แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอังกฤษทั้งประเทศเสียขวัญพวกเขาแสดงความแข็งแกร่งว่ารับมือกับบรรดาผู้ไม่หวังดีได้ และ เหตุการณ์ดังกล่าวไม่สามารถทำให้ชีวิตประจำวันของพวกเขานั้นต้องเปลี่ยนไป
แม้ว่าคนอังกฤษ หรือ แม้กระทั่ง นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน อย่าง “ซาดิก คาน” จะออกมายืนยันเช่นนั้น แต่ดูเหมือนว่า ประธานาธิบดี ที่ชินกับการใช้ความเกลียดเอาชนะความเกลียดอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้คิดเช่นนั้นเขาต่อว่านายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนอย่างรุนแรงผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ว่าไม่ยอมออกแถลงการณ์ฉุกเฉิน และ ปฏิบัติหน้าที่ได้เชื่องช้าแถมยังเสนอรัฐบาลอังกฤษในการส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือ แต่ก็ในทันทีเช่นกันนางเทเรซ่า เมย์ ได้ออกมาโต้กลับทรัมป์ ว่านายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนทำหน้าที่ได้ดีแล้ว และ ปฏิเสธความช่วยเหลือของสหรัฐฯทันที พร้อมกับเหน็บไปนิดหน่อยว่าอังกฤษดูแลตัวเองได้
แต่ดูเหมือนว่า “ความกร่างไม่เข้าท่า” บวกกับ ประสบการณ์ที่ไม่เคยมีในเวทีระดับโลก ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์กลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนอังกฤษ และทำให้มีการตอบโต้ที่อย่างเฉือดเชือนทางสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น เจ้าแมว แลร์รี่ย์ ที่โต้ตอบทรัมป์ ในทวิตเตอร์ว่า “ถ้าคิดว่าการติดอาวุธให้กับเจ้าหน้าที่คือการแก้ปัญหาขอให้หันกลับไปดูเหตุการณ์ในอเมริกาว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นขนาดไหนกับการให้คนสามารถพกอาวุธได้ และ เหตุการณ์ในลอนดอนนั้นสามารถควบคุมได้และมีความรุนแรงน้อยกว่า”
ไม่เว้นแม้แต่ แกร์รี่ย์ ลินิเกอร์ อดีตนักฟุตบอลชื่อดัง และปัจจุบันเป็น พิธีกรรายการอยู่ทาง BBC ที่ทวิตข้อความไล่ให้ทรัมป์ กลับไปทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ต่อไปเถอะ และ ปล่อยให้อังกฤษอยู่กับความยิ่งใหญ่ที่มีอยู่แล้วดีกว่า
ขณะที่หนังสือพิมพ์ เดอะการ์เดี้ยนของอังกฤษนั้นทำรายงานพิเศษที่แสดงให้เห็นว่าการที่ ตำรวจในเมืองหลวงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ นั้นไม่พกอาวุธปืน แต่มีอาวุธป้องกันเหตุอย่างกระบอง และ ปืนไฟฟ้า หรือ แม้แต่สเปรย์พริกไทยนั้นเพราะเป็นการดำเนินนโยบาย มาตั้งแต่ปี 1829 ที่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมสถานการณ์ด้วยความประนีประนอม มากกว่าจะใช้กำลัง โดยแนวทางดังกล่าวนั้นมีความเชื่อว่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปืนในการควบคุมสถานการณ์จะทำให้ชุมชนอยู่ด้วยความหวาดกลัว และ อาจจะสร้างปัญหาได้มากกว่าแก้ปัญหา
แต่ถ้ามีสถานการณ์ฉุกเฉิน กำลังเจ้าหน้าที่จะถูกเปลี่ยนเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษ ที่จะมาพร้อมกับปืนไรเฟิล ชุดกันกระสุน และ เป็นเจ้าหน้าที่ถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติการจู่โจมโดยเฉพาะ โดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะยิงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
มีรายงานว่าในปี 2016 เจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษ และ เวลส์ นั้นมีการยิงปืนไปเพียงแค่ 7 นัด และเป็นการยิงใส่คนร้ายจำนวนเพียงแค่ 5 คน และแม้ว่าจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองหลวงของอังกฤษจะมีจำนวนถึง 3,300 นาย แต่เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะไม่ยิงผู้ต้องสงสัยก่อนเป็นอันขาด
แน่นอนว่าวิธีการจัดการกับความรุนแรงแบบอังกฤษนั้นเป็นคนละโลกกับสหรัฐอเมริกาที่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ใช้ปืนปลิดชีวิตผู้ต้องสงสัยไปถึง 1,092 ราย (ข้อมูลจากเดอะการ์เดี้ยน)
และถึงแม้ว่ารัฐบาลอังกฤษจะทราบดีว่า เหตุก่อการร้ายตามนครหลวง หรือ เมืองใหญ่ต่างๆ จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆแต่พวกเขายังเชื่อว่า หน่วยข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ และ ความร่วมมือของชุมชนที่เข้มแข็งในการคอยระแวดระวังหรือแจ้งเหตุแก่เจ้าหน้าที่จะเป็นการป้องกันได้ดีกว่าติดอาวุธเพิ่มให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ จะทำให้เมืองมีความปลอดภัยมากกว่า
ขณะที่ความคิดเห็นของคนอังกฤษกับการติดอาวุธให้ตำรวจเพิ่มขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาต่างรู้สึกคล้ายกันว่า นโยบายในปัจจุบันนั้น สร้างความปลอดภัยให้กับพวกเขาได้ และที่สำคัญการใช้ชีวิตอยู่ใน “รัฐตำรวจ” นั้นไม่ใช่ความคิดที่ดี แต่คนที่เคยชินกับการใช้ความเกลียดในการสร้างอำนาจของตนเองอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ คงไม่มีวันเข้าใจ