ชีวิตมักมีบททดสอบมาให้เราเสมอ มีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป หากสิ่งทีเกิดขึ้นล้วนดีทั้งนั้น เพราะเราจะได้ประสบการณ์ชีวิต และยิ่งเจอโจทย์ที่ยากขึ้นเราจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น การเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อให้เห็นสุขและทุกข์ นั้นเป็นสิ่งที่ต้องเจอกันทุกคน และในความทุกข์แต่ละครั้งล้วนมีคุณค่าแก่ตัวเราเพื่อที่จะเป็นบทเรียนให้เราได้เติบโตขึ้น และสามารถเตรียมพร้อมเพื่อที่จะเจอกับบททดสอบของชีวิตในช่วงเวลาข้างหน้า ที่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้น เรามาเริ่มทำความเข้าใจกับความเศร้า 12 อย่างที่ทุกคนต้องเจอในชีวิตและปรับเปลี่ยนให้มันกลายเป็นพลังด้านบวกเพื่อให้เราเดินต่อไปในวันข้างหน้าด้วยความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ
1. เผชิญหน้ากับการสูญเสียพ่อแม่และบุคคลอันเป็นที่รัก
ทุกคนต้องผ่านช่วงเวลาที่สำคัญนี้ในชีวิต ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วกับการสูญเสียพ่อแม่และบุคคลอันเป็นที่รัก แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่หลายคนบอกว่ายากลำบากเป็นอย่างยิ่ง แต่ประสบการณ์จากการสูญเสียนั้นจะทำให้คุณได้เรียนรู้ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาระยะหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจงเลือกมอบความรักและความปราถนาดีให้กับคนที่คุณรัก ในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่จะดีกว่า
2. เผชิญหน้ากับโรคร้าย
ช่วงเวลาที่ยากลำบากอีกหนึ่งช่วงคือการรับรู้เรื่องอาการป่วยของตนเอง หลายคนเมื่อต้องพบว่าการวินิจฉัยของแพทย์นั้นคือการบอกข่าวร้ายว่าเรากำลังป่วยด้วยโรคที่มีความเสี่ยง คุณจะรู้สึกว่าชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บางคนถึงขั้นเครียดกับข่าวร้ายเรื่องโรคภัยของตนเอง แต่จงหันกลับมามองใหม่เพื่อทำให้คุณได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น ว่านี่คือการส่งสัญญาณของร่างกาย ที่ทำให้คุณต้องปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นจากการใช้ชีวิตดั่งที่ผ่านมา หากกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าก็หนีไม่พ้นจากโรคร้าย แต่ถ้าคุณปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้ดีขึ้นและสู้กับโรคร้าย คุณจะได้ “คุณ” คนใหม่กลับมา และมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น
3. เผชิญหน้ากับการหย่าร้าง หรือ ต้องเลิกราจากคนรัก
ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอในชีวิต เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน ต่อให้คุณพยายามจะป้องกันขนาดไหน ชีวิตคู่ก็เช่นกัน การหย่าร้าง เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ เมื่อคนสองคนที่มีพื้นหลังในการเติบโตต่างกันมาพบกัน รักกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน หากปรับตัวเข้าหากันได้ ก็จะเป็นการใช้ชีวิตคู่อย่างยาวนาน แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างยังคงเป็นตัวของตัวเอง ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะอยู่ได้ชั่วฟ้าดินสลาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้แต่ละฝ่ายไปหาคนที่เหมาะสมกว่า ดังนั้นอย่าเสียดายอดีตที่ผ่านไปแต่จงอยู่กับปัจจุบันเพื่อมีอนาคตที่มีความสุขกว่าเดิมจะดีกว่า
4. เผชิญหน้ากับการว่างงาน
หลายคนเมื่อต้องสูญเสียงานที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นถูกเลย์ออฟ หรือ ถูกปลดออก พวกเขาจะรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ เพราะเหมือนได้สูญเสียตัวตนของตนเองไป ไม่รวมถึงรายได้ที่ต้องเอามาใช้ชีวิต แต่การสูญเสียงานที่ทำ ทำให้หลายคนตกอยู่ในภาวะเครียดจนซึมเศร้าได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เมื่อประตูบานหนึ่งปิด ประตูอีกบานพร้อมจะเปิดอยู่เสมอ” ดังนั้นอย่าได้ดูถูกความสามารถของตนเอง การถูกให้ออกจากงานเป็นบททดสอบที่จะทำให้คุณได้เห็นว่าศักยภาพของคุณนั้นมีมากกว่าที่นายจ้างเดิมเคยปรามาสคุณเอาไว้
5. เผชิญหน้ากับการห่างเหินจากลูก
คนเป็นพ่อเป็นแม่น่าจะกลัวช่วงเวลาที่ลูกเป็นวัยรุ่นมากที่สุด เพราะเขาจะเริ่มเป็นตัวของตัวเอง และจะใช้เวลาอยู่กับเพื่อน และ เริ่มสร้างกำแพงกับพ่อแม่ ซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนแอบทุกข์ใจ เหตุการณ์แบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกที่เคยสนิทสนมกันเมื่อวัยเยาว์ของพวกเขา กับการโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่นั้นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การเฝ้ามองว่าลูกของคุณจะสามารถเดินไปตามแนวทางชีวิตที่คุณสร้างรากฐาน และประสบความสำเร็จขนาดไหนคือสิ่งที่พ่อแม่ต้องปรับทัศนคติตนเอง
6. เผชิญหน้ากับการสร้างธุรกิจแล้วไม่ประสบความสำเร็จ
หลายคนชอบอยู่ในเซฟโซน แล้วโพสต์ในโซเชียลมีเดียตลอดเวลาว่าอยากทำอะไรเป็นของตนเอง แต่ไม่เคยลุกขึ้นมาทำเลยสักครั้ง เพราะกลัวที่ต้องพบกับความล้มเหลว กลัวในทุกสิ่งที่ตนเองไม่เคยลงมือทำ จนไม่กล้าออกจากเซฟโซน สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่ใช้ชีวิตที่ตนเองไม่อยากเป็น และ จากโลกนี้ไปด้วยความเสียใจด้วยประโยคที่ว่า “ทำไมวันนั้นไม่ลงมือทำ” นี่คือสิ่งที่แย่ยิ่งกว่า คนที่กล้าลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ เสียอีกเพราะอย่างน้อยคุณก็กล้าออกจากเซฟโซน ลงมือทำให้รู้ว่าที่ฝันเอาไว้นั้นเหมือนที่ฝันหรือเปล่า หรือยากกว่าที่ฝัน หรือ ที่ฝันไว้นั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ตัวเรา จงจำเอาไว้ว่า ชีวิตไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออยู่แต่ในพื้นที่ปลอดภัยเราต้องรู้จักที่จะออกจากพื้นที่ปลอดภัยเพื่อพบกับสิ่งที่เราเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนบ้าง
7. เผชิญหน้ากับการเสียโอกาสที่คิดว่ามีเพียงครั้งเดียวในชีวิต
เราถูกสอนมาว่าให้ทำให้ดีที่สุดเมื่อได้รับโอกาส เพราะโอกาสนั้นอาจมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต การปลูกความเชื่อเช่นนั้นทำให้หลายคนกดดัน และทำผลงานในโอกาสที่ได้รับนั้นออกมาไม่ดีเท่าไร และกลายเป็นว่าความผิดพลาดในครั้งนั้นเป็นบาดแผลในใจไปตลอดกาล แต่ในความเป็นจริง โอกาสสำคัญไม่ได้มาในชีวิตเพียงแค่ครั้งเดียว หากคุณพลาดในครั้งแรก ขอให้เรียนรู้ความผิดพลาด และ นำมาปรับใช้ในครั้งต่อไปเพื่อให้คุณก้าวเข้าสู่พื้นที่ของความสำเร็จอย่างที่คุณต้องการ
8. เผชิญหน้ากับความผิดพลาดในการลงทุน
คนเรามักหวังผลตอบแทนก้อนใหญ่เสมอ และเงินก้อนใหญ่มักทำให้เรามองข้ามความผิดปกติในการลงทุนได้เช่นกัน หากคุณนำเงินทั้งหมดที่มีไปลงทุนเพราะเชื่อในตัวคนที่ชักชวน แล้วพบว่า ผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นเป็นเรื่องหลอกลวง คุณต้องสูญเสียเงินก้อนใหญ่ สิ่งแรกที่ควรทำคือดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ที่ฉ้อโกงคุณ จากนั้นให้ความผิดพลาดครั้งนี้เป็นบทเรียน จะได้เงินคืนหรือไม่นั่นคืออีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องสำคัญคืออย่ามัวแต่นั่งฟูมฟาย เสียดายเงิน หากลุกขึ้นมาหาเงินทดแทนที่สูญเสียไปจะดีกว่า เพราะเงินนั้นหาใหม่ได้แต่เวลานั้นเมื่อผ่านไปแล้ว ก็ผ่านเลยไป
9. เผชิญหน้ากับรักที่ไม่สมหวัง “รักคนที่เขาไม่รักคุณตอบ”
“รักข้างเดียว” เป็นเรื่องเศร้าสำหรับคนที่จะต้องเจอ เพราะเป็นความผิดหวังจากความคาดหวัง ว่าจะได้รับรักตอบ แต่เอาเข้าจริงแล้วการถูกปฎิเสธ กลายเป็นสิ่งที่ดีเพราะคุณจะได้เลิกฝันกลางวัน เมื่อเขาไม่ได้มีความรู้สึกเดียวกับที่คุณมี คุณก็จะได้เดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปโดยที่ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร
10. เผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ที่พังทลาย
มีรักก็ต้องมีเลิก เคยเป็นเพื่อนกลายเป็นแค่คนรู้จัก เป็นเหตุการณ์ปกติที่จะเกิดในชีวิตคุณ เพราะวันเวลาที่ผ่านไปคนที่คุณรัก เพื่อนของคุณ ก็โตขึ้น มีการเติบโตทางความคิด ความเปลี่ยนแปลงทางรสนิยม พัฒนาตนเองจนไม่ได้เป็นคนที่คุณรู้จักอีกต่อไป ตัวคุณเองก็เช่นกันที่จะต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอย่าได้มัวมาระทมทุกข์ แต่จงเดินหน้าต่อ ใช้ชีวิตและมีชีวิตเพื่อตนเอง อย่างมีความสุขจะดีกว่า
11. เผชิญหน้ากับการถูกทอดทิ้งตั้งแต่วัยเด็ก
สังคมปัจจุบัน พ่อแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เด็กหลายคนเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกทอดทิ้ง ตั้งแต่วัยเยาว์ ทำให้พวกเขามองโลกต่างออกไป ไม่มีความมั่นใจ และกลัวการถูกปฎิเสธ เรื่องนี้เป็นปมในใจของใครหลายคน แต่ถ้าคุณมองปมนี้ให้ชัดเจน และทำความเข้าใจว่า การที่พ่อหรือแม่ทิ้งคุณไปตั้งแต่วัยเยาว์ หากคุณได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ต้องเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันตลอดเวลาน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า เหนืออื่นใด เมื่อคุณมีลูกเป็นของตนเอง ก็จงใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณสร้างพวกเขาให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและไม่เจ็บปวดเหมือนที่คุณเคยเป็น
12. เผชิญหน้ากับการไม่มีลูกเพื่อเติมเต็มครอบครัว
ไม่ใช่ว่าทุกคู่ที่แต่งงานกันแล้วจะมีลูกได้ง่าย และไม่ใช่ว่าคู่แต่งงานที่มีลูกจะมีความยั่งยืนของชีวิตคู่ได้ ดังนั้นการที่ครอบครัวใดไม่มีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจอย่างที่ถูกสอนกันมา ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งเสียใจหรือซ้ำเติมตนเอง เพราะชีวิตคู่ของคุณมีความสุขได้มากกว่านั้นกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนที่คุณรัก เพราะถึงแม้จะมีลูก แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่ลูกของคุณโตขึ้นพวกเขาก็ต้องออกจากอ้อมอกของคุณไปอยู่ดี