แก่แต่ไม่มีเงินเก็บ มีช่องทางมีเงินใช้จากไหนบ้าง?

เรื่องเงินเก็บไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ต่อให้ทำงานมาทั้งชีวิต แต่ไม่มีเงินเก็บสักก้อนไว้ใช้ในยามที่เกษียณ แล้วจะทำอย่างไรดีในวันที่ตนเองเริ่มที่จะทำงานไม่ไหว จะมีช่องทางไหนที่จะช่วยให้มีเงินกินมีเงินใช้บ้าง Tonkit360 มีแหล่งเงินมาแนะนำ

1. เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หรือเบี้ยยังชีพคนชรา เป็นเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยจากภาครัฐที่จัดสรรไว้สำหรับผู้สูงอายุในทุก ๆ เดือน เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้สูงอายุ โดยผู้สูงอายุที่มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือ คือ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในปีงบประมาณนั้น ๆ โดยจะได้รับเงินนี้ไปตลอดชีวิต ซึ่งผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือในปีงบประมาณถัดไปจะต้องลงทะเบียนไว้ก่อน

ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์รับเงินยังชีพในปีนั้น ๆ สามารถไปลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้แทน ที่สำนักงานเขตที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน (กรุงเทพฯ) หรือสำนักงานเทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน (ต่างจังหวัด)

ส่วนผู้สูงอายุที่เคยลงทะเบียนขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแล้ว แต่ย้ายภูมิลำเนา จะต้องไปลงทะเบียนใหม่ ณ สำนักงานเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน

การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะจ่ายเงินผ่านบัญชีธนาคาร ตามปฏิทินที่กรมบัญชีกลางประกาศ หรือยึดตามหลักเกณฑ์คือ ทุกวันที่ 10 ของเดือน หากตรงกับวันหยุด จะจ่ายล่วงหน้าก่อนวันหยุด

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ

  • สัญชาติไทย มีภูมิลำเนาในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามทะเบียนบ้าน
  • มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ตามปีงบประมาณ กล่าวคือ ผู้ที่ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพในปี 2563 คือ ผู้ที่จะอายุ 60 ปี ในปีงบประมาณ 2564 (ได้รับเงินในปีงบประมาณ 2564) จะนับอายุจนถึงวันที่ 1 ก.ย. 2564 ดังนั้น ต้องเป็นผู้ที่เกิดก่อนวันที่ 2 ก.ย. 2504 จึงจะมีสิทธิ์ลงทะเบียน (ผู้สูงอายุที่ทะเบียนราษฎรระบุเฉพาะปีเกิด ซึ่งไม่ทราบวันเกิด/เดือนเกิด ให้ถือว่าเกิดในวันที่ 1 ม.ค. ของปีนั้น ๆ)
  • ไม่เคยได้รับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งหมายถึงเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่น ๆ ที่มีลักษณะเดียวกัน เช่น ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ที่มีเงินเดือน ค่าตอบแทน รายได้ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่รัฐจัดให้เป็นประจำ

เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้เงินเท่าไร

เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในปัจจุบัน จะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นรายเดือนต่อเนื่องไปตลอดชีวิต โดยเป็นอัตราเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดตามช่วงอายุ คือ

  • อายุ 60-69 ปี ได้รับ 600 บาทต่อเดือน
  • อายุ 70-79 ปี ได้รับ 700 บาทต่อเดือน
  • อายุ 80-89 ปี ได้รับ 800 บาทต่อเดือน
  • อายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับ 1,000 บาทต่อเดือน

2. สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ

คือ “โครงการสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักค้ำประกัน” หรือ Reverse Mortgage สินเชื่อนี้จะต่างจากสินเชื่อทั่วไป เพราะเป็นสินเชื่อที่สถาบันการเงินให้กับผู้กู้ที่เป็นผู้สูงอายุเท่านั้น โดยให้ผู้สูงอายุนำที่อยู่อาศัยที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองและปลอดภาระหนี้ มาเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สถาบันการเงินจะจ่ายเงินให้กับผู้กู้ตลอดชีวิต หรือตามระยะเวลาที่ตกลงกัน

เพื่อเพิ่มเงินได้ในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งจำนวนเงินที่ผู้กู้จะได้รับขึ้นอยู่กับอายุของผู้กู้ มูลค่าของที่อยู่อาศัย และอัตราดอกเบี้ย ผู้กู้สามารถเลือกรับเงินเป็นก้อน รับเงินเป็นรายเดือน หรือเป็นวงเงินพร้อมใช้ก็ได้ ตามที่ผู้กู้ต้องการโดยไม่เกินราคาประเมินของทรัพย์สินที่นำไปค้ำประกันตามหลักเกณฑ์ที่สถาบันการเงินกำหนด ซึ่งผู้สูงอายุยังคงสามารถอาศัยอยู่ในบ้านที่นำมาใช้เป็นหลักประกันได้ตลอดชีวิตโดยยังไม่ต้องชำระคืนสินเชื่อ ดูสถาบันการเงินที่เปิดโครงการ Reverse Mortgage ที่นี่

3. บำเหน็จบำนาญจากประกันสังคม

เป็นเงินที่ผู้สูงอายุทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ ไม่ว่าจะมีอาชีพรับราชการ พนักงานบริษัทเอกชน หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ จะได้รับเงินชราภาพในรูปแบบของ “บำเหน็จและบำนาญชราภาพ” ตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานประกันสังคมได้กำหนดไว้

เงินบำเหน็จชราภาพ

  • กรณีที่จ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ จำนวนเท่ากับเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
  • กรณีที่จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ จำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทน ตามที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด

เงินบำเหน็จชราภาพ

  • กรณีจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 180 เดือน มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนใน อัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
  • กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตราบำนาญชราภาพตามข้อ 1 ขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อ ระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน สำหรับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบเกินกว่า 180 เดือน

4. โครงการจ้างงานผู้อายุ จากกระทรวงแรงงาน

เนื่งจากผู้สูงอายุหลายคนแม้อายุจะถูกกำหนดให้อยู่ในวัยเกษียณจากภาระหน้าที่การงาน แต่ในความเป็นจริง ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยยังร่างกายแข็งแรงดี ความคิด ความจำ และสภาพจิตใจ ยังมีประสิทธิภาพดีที่จะทำงานได้ต่อไปอีกสักระยะก่อนที่จะพักผ่อนอย่างจริงจัง

ที่สำคัญ ด้วยความที่ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ยังรู้สึกว่าตนเองยังทำงานได้ หากจะต้องนั่ง ๆ นอน ๆ พักผ่อนอยู่บ้านก็จะรู้สึกเบื่อ เหงา ขณะเดียวกันยังช่วยสร้างความมั่นใจ และเพิ่มคุณค่าให้กับกลุ่มคนสูงวัยที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าพวกเขายังมีประสิทธิภาพที่ดี

ในช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐ 20 หน่วยงานของกรมการจัดหางาน ได้มีการจ้างงานผู้สูงอายุตั้งแต่ 60–75 ปี เพื่อเป็นต้นแบบในการจ้างงานผู้สูงอายุ จำนวน 20 ราย ระยะเวลาทำงาน 144 วัน วันละ 3 ชั่วโมง ค่าตอบแทนชั่วโมงละ 250 บาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีรายได้ถึง 108,000 บาทต่อคน นับเป็นเงินที่ไม่น้อยทีเดียวสำหรับการจ้างงานผู้สูงอายุ

ดังนั้น ผู้สูงอายุที่ยังอยากจะทำงานหาเงินเลี้ยงตนเอง สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด

ข้อมูลจาก สำนักงานประกันสังคม, กรมกิจการผู้สูงอายุ