ยุคข้อมูลข่าวสารที่ต้องระวังคนไม่รู้ตั้งตนเป็น “ผู้รู้”

สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ที่ร้อนแรงมากนะคะ สำหรับสื่อสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย ร้อนแรงทั้งรูปภาพ คลิป และการแสดงความคิดเห็น ทั้งจากน้อง ๆ เยาวชน น้อง ๆ วัยทำงาน หรือเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นความร้อนแรงที่ทำให้ผู้เขียนเองต้องขออนุญาตพักจากการใช้งานโซเชียลมีเดียส่วนตัวของตนเองในทวิตเตอร์ชั่วคราว เพราะเกรงผลกระทบจาก “ห้องเสียงสะท้อน” และ “ข้อความหยาบคาย” ที่พ่นใส่กันไม่เว้นวัน

แม้ยุคนี้ใคร ๆ ก็ตั้งตนเป็นสื่อได้ แต่คนรับสื่ออย่างเราก็เลือกรับได้เช่นกันค่ะ เหนืออื่นใดควรเลือกรับให้ครบทุกด้านและตรวจสอบได้ในกระบวนการนำเสนอตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะเท่าที่เห็นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเข้าใจผิด หรือที่คนยุคนี้จะเรียกว่าการ “ตีความใหม่” เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยู่เยอะมาก ขณะเดียวกันก็มีคนพร้อมที่จะเชื่อเรื่องราวที่ใครก็ไม่รู้ ไม่มีแม้กระทั่งชื่อจริงนำเอามาโพสต์ เป็นการเสพข้อมูลข่าวสารที่ต้องยกมือทาบอกด้วยความตกใจ

เพราะดูจะเป็นการนำเอาข้อมูลขยะเข้าสู่สมอง จากนั้นค่อย ๆ สร้างตรรกะที่ผิดเพี้ยนขึ้นทีละน้อยจนกลายเป็นตรรกะอันพังพินาศไปในที่สุด เอาเป็นว่าช่วงนี้เห็นข่าวอะไร หรือเนื้อหาแบบที่ไม่ชอบ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากค่ะ แค่หยุดเสพก็พอ เพราะคุณเลือกได้ จากนั้นก็ดำรงชีวิตด้วยการตั้งใจเรียนหนังสือ ตั้งใจทำงาน ดูแลครอบครัว และใช้ชีวิตแบบที่คุณชอบไป เพราะเอาเข้าจริงไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่มีข้อมูลประเภท “Conspiracy Theory” หรือทฤษฎีสมคบคิด จนกลายมาเป็น Fake News ที่แชร์ต่อกันทำให้เกิดคนที่ประเภท “”ไม่เคยรู้มาก่อน พอได้รู้นึกว่ารู้ แต่ไม่ได้รู้อย่างแท้จริง”” อยู่เต็มโลกจริงและโลกคู่ขนาน

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะรับข้อมูลข่าวสารมากมายไปทำไมกัน ทำไมเราไม่รู้เฉพาะสิ่งที่จะเกิดประโยชน์ต่อการเรียน หรือต่อยอดในหน้าที่การงาน หรือสร้างความรู้สึกบันเทิงให้กับตนเอง เพราะยิ่งอยู่กับกระแสข่าวที่พัดโหมกระหน่ำมากเท่าไร สังคมที่ชอบ “งานแห่” อย่างสังคมไทยก็มักจะอ่อนไหวไปตามกระแสที่แรงกว่า ดังเช่นการใช้ความหยาบคาย ความแรง และ ความก้าวร้าว กลายเป็นจุดขายที่สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คนในสังคม ทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบแห่แหนทำตามกัน

และด้วยตรรกะดังกล่าวทำให้เกิดการกล่าวหาที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน อาทิ คนที่พูดจาไพเราะ กลายเป็นคนไม่จริงใจ คนที่รู้จักมารยาทสังคม กลายเป็นพวกเจ้ายศเจ้าอย่าง คนที่ไม่นิยมความรุนแรง กลายเป็นคนโลกสวย โลกมันกลับตาลปัตรมาได้ขนาดนี้เลยล่ะค่ะคุณผู้อ่านที่รัก เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เขียนเองก็คิดว่าถึงเวลาที่ต้องเลือกสื่อที่จะเสพ เลือกหนังสือที่จะอ่าน เลือกรายการที่จะฟัง ในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความถึงหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุนะคะ แต่หมายถึง เว็บไซต์ข่าว โซเชียลมีเดีย คลิปในยูทูป หนังหรือซีรีส์ใน OTT รวมไปถึงรายการจากพวกแอปพลิเคชันฟังเพลงอย่าง Podcast หรือ Spotify

นอกเหนือจากเลือกให้ตนเองแล้วยังต้องเลือกให้ลูกหลานด้วยค่ะ เพราะประสบการณ์ของคนในครอบครัวที่มีตรรกะไม่ผิดเพี้ยน จะเลือกปลูกฝังสิ่งที่ดีให้กับลูกหลานตนเอง ไม่ปลูกฝังให้เด็กเกลียดใคร หรือทำอะไรที่เกินกว่าความรับผิดชอบของพวกเขา เหมือนคำกล่าวที่ว่า ครอบครัวคือเบ้าหลอมของเด็กที่จะโตมาเป็นผู้ใหญ่อย่างไรนั่นแหละค่ะ ถ้าคุณไม่อยากให้ลูกหลานตนเองโตมาเป็นคนประเภท “ไม่เคยรู้มาก่อน พอได้รู้นึกว่ารู้ แต่ไม่ได้รู้อย่างแท้จริง” ก็ควรจะเริ่มใส่ใจการเสพสื่อของบุตรหลาน แล้วชี้ให้เขาเห็นว่าความจริงเป็นเช่นไร แม้พวกเขาจะยังไม่เชื่อคุณในเวลานี้ แต่ให้มีข้อมูลอีกด้านอยู่ในหัวของพวกเขาไว้บ้าง เพราะท้ายที่สุดเมื่อเขาได้เรียนรู้ความจริงที่เป็นข้อเท็จจริงที่มีที่มาที่ไป หรือเรียนรู้จากประสบการณ์จริง พวกเขาก็จะนึกถึงคำพูดของพวกคุณเอง

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ