
มนุษย์ทุกคนมี “พื้นที่ส่วนตัว” หรืออาจจะเรียกว่า “จักรวาลส่วนตัว” ก็ยังได้ เป็นพื้นที่ที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามารุกล้ำโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งโดยปกติแล้ว เราจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางในการวัดพื้นที่รอบ ๆ ตัวเสมอ โดยระยะห่างที่สั้นที่สุดที่มนุษย์เราจะสงวนไว้ไม่ให้คนที่ไม่สนิทเข้าใกล้ จะอยู่ที่ประมาณ 1 ช่วงแขน กางออกแล้ววาดรอบตัวเหมือนวงเวียน ซึ่งก็คือประมาณ 45-60 เซนติเมตรนั่นเอง
พื้นที่ส่วนตัว (Personal space) ในทางมนุษยวิทยา คือ ช่องว่างระหว่างบุคคลแต่ละคนในสังคม ถือเป็นอาณาเขตส่วนตัวของคนแต่ละคน อย่างไรก็ตาม ระยะห่างนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ความสนิทสนมในความสัมพันธ์ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมที่เติบโตมา
ด้วยระยะห่างที่มนุษย์เราสร้างขึ้นนี้เกิดเป็น ทฤษฎี 45.7 เซนติเมตร เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องของระยะห่างระหว่างบุคคล ซึ่งหากเราเริ่มยินยอมให้ใครสักคนเข้าใกล้พื้นที่ประมาณ 45.7 เซนติเมตรที่ว่า นั่นแปลว่าเขาอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลของเราแล้วก็ได้
ทฤษฎี 45.7 เซนติเมตร คืออะไร?
ทฤษฎี 45.7 เซนติเมตร (Proxemic Theory, 1966) เป็นทฤษฎีของเอ็ดเวิร์ด ฮอลล์ (Edward T. Hall) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ได้เสนอว่า การที่มนุษย์เว้นระยะห่างระหว่
เมื่อมีการเว้นระยะห่าง ฮอลล์จึงได้แบ่งระยะห่างระหว่าง
1. ระยะใกล้ชิด (Intimate Distance) เป็นระยะที่ใกล้ที่สุด มีระยะห่างประมาณ 0-15 เซนติเมตร ในระยะนี้เป็นระยะที่มนุษย์เราสามารถสื่อสารกันได้อย่างใ
อย่างไรก็ตาม ระยะใกล้ชิดยังสามารถเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัดบางอย่าง โดยเฉพาะข้อจำกัดของสถานที่ ในกรณีที่เราจำเป็นจะต้องอยู่ในระยะใกล้ชิดกับคนแปลกหน้า เช่น การยืนเบียดกันบนรถโดยสารสาธารณะ การนั่งเก้าอี้รอคิวในการติดต่อธุระบางอย่าง จะเห็นได้ว่าไม่ว่ารถจะแน่นขนาดไหน เราจะพยายามสร้างพื้นที่ว่างไว้เสมอแม้จะเพียง 1 เซนติเมตรก็ตาม เพื่อไม่ให้คนแปลกหน้าสัมผัสตัว หรือถ้ามีโอกาส เราจะเลือกย้ายที่นั่งให้ห่างจากคนอื่น
2. ระยะส่วนตัว (Personal Distance) เป็นเขตป้องกันตัวระย
3. ระยะสังคม (Social Distance) เป็นระยะที่ใช้กับผู้ที่
4. ระยะสาธารณะ (Public Distance) มักเป็นการสื่อสารทาง
ผลของการมีระยะห่างต่อกัน
จากการเว้นระยะห่างตามทฤษฎี เมื่อเราต้องเข้าไปอยู่ในที่ที่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ จะทำให้เรารู้สึกอึดอัดเมื่อต้องอยู่ในที่ที่คนเยอะ ๆ หรือเบียดเสียดกัน การที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาประชิดตัวหรือกำลังถูกคุกคาม โดยสมองของเราจะเริ่มสั่งการให้เข้าสู่โหมด “ระวังภัย” รวมไปถึงความไม่พอใจ (แม้แต่กับคนรู้จัก) เมื่อใครก็ตามรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตส่วนตัวของเรา หรือเข้ามาวุ่นวายกับข้าวของส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต
ในทางตรงกันข้าม หากเรายิ่งสนิทสนมกับใคร เราจะค่อย ๆ ลดกำแพงลง (แต่อาจจะยังมีเส้นบาง ๆ กั้น) ยินยอมให้เขาเข้าใกล้ในระยะส่วนตัว ทำให้ระยะห่างต่อกันเริ่มน้อยลง แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดปัญหาระหว่างกันขึ้น เราก็สามารถทวงคืนพื้นที่ส่วนตัวคืนได้ด้วยการขอ “ห่างกันสักพัก” ซึ่งเป็นสักพักที่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน หรืออาจจะตลอดไปเลยก็ได้
ดังนั้น นี่จึงเป็นวิธีสื่อสารอย่างหนึ่
ระยะห่างจึงส่งผลต่ออารม
ในขณะเดียวกัน ในระยะส่วนตัวที่เราขีดเส้นแบ่งไว้ ก็แปลว่าเราไม่ยินยอมให้คนที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าใกล้ และพยายามที่จะรักษาระยะห่างไว้ จนบางครั้งอาจเกิดการเข้าใจผิดว่าฝ่ายตรงข้ามเข้าถึงยาก หยิ่ง รังเกียจ หรือเกิดไม่มั่นใจขึ้นมาว่าตัวเองอาจมีลักษณะไม่พึงประสงค์บางอย่างที่ทำให้คนไม่อยากเข้าใกล้
อีกสิ่งที่ต้องระวังให้มาก คือ “การคิดไปเอง” โดยเฉพาะคนที่สนิทสนมอยู่ใกล้ชิดกันมาก ๆ แต่ในทางความรู้สึก คน 2 คนอาจจะมีไม่เท่ากัน หากความรู้สึกที่มีเหมือนกันและเท่า ๆ กัน ก็อาจจะเกิดความสัมพันธ์ใหม่ขึ้น แต่ถ้าใครสักคนเริ่มรู้สึกตัวว่าโดนรุกล้ำมากเกินไป เพราะความรู้สึกที่มีต่อกันไม่เหมือนกัน ก็อาจจะ “ตีตัวออกห่าง” และนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่จบไม่สวยเท่าใดนัก
ระยะห่างจึงมีความสำคัญ
แต่บางครั้งเราอาจจะล่วงล้ำเข้าไ
ดังนั้น ความเป็นส่วนตัวของมนุษย์เราจะสิ้นส
ข้อมูลจาก eScholarship