ย้อนรอยเหตุลอบสังหาร ปลิดชีพแบบนิ่มๆ ด้วย “ยาพิษ”


ย้อนรอยเหตุลอบสังหาร ปลิดชีพแบบนิ่มๆ ด้วย “ยาพิษ”

ข่าวการลอบสังหาร “คิม จอง นัม” พี่ชายต่างมารดาของ “คิม จอง อึน” ผู้นำเกาหลีเหนือ ถือเป็นข่าวที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ เพราะเบื้องหลังของการฆาตกรรมในครั้งนี้ เชื่อกันว่ามีผู้นำเผด็จการอย่าง คิม จอง อึน เป็น “ผู้บงการ”

โดยอาวุธที่ใช้ในการลอบสังหารคือ “ยาพิษ” ที่คาดว่ามาในรูปแบบของ “ปากกาสเปรย์” และจากการผ่าชันสูตรศพก็สอดคล้องกัน เมื่อพบว่า เขาเสียชีวิตจากสารพิษ ซึ่งสันนิษฐานว่า อาจเป็น “ไรซิน” พิษที่สกัดจากเมล็ดละหุ่ง หรือไม่ก็เป็น “เทโทรโดท็อกซิน” พิษจากปลาปักเป้า

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้เกี่ยวข้องในแวดวงการเมืองถูกลอบสังหารด้วย “ยาพิษ” โดยที่ผ่านมา เคยมีการวางยาคู่อริในหลายกรณี และมีวิธีการหลากหลายรูปแบบ แต่ทั้งหมดล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการปลิดชีพฝั่งตรงข้าม และ 4 กรณีนี้ คือส่วนหนึ่งของการลอบสังหารที่เคยเป็นข่าวดังไปทั่วโลก

ร่มอาบยาพิษ : จอร์จี้ มาร์คอฟ นักเขียนบัลแกเรีย ผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาล จนต้องลี้ภัยมาอยู่ที่อังกฤษ ถูกลอบสังหารขณะรอรถกลับบ้าน ในเดือนกันยายน ปีค.ศ. 1978 ด้วยร่มที่ยิงลูกดอกอาบยาพิษ “ไรซิน” เข้าที่ต้นขา ก่อนเสียชีวิตในอีก 4 วันถัดมา ซึ่งวิธีการใช้ร่มปลิดชีพนี้ คิดค้นโดย “เคจีบี”ของรัสเซีย

พ่นสารพิษเข้าหู : คอลิด มิชอัล ผู้นำกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ ถูก เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล สั่งฆ่าขณะที่อยู่ในจอร์แดน โดยคนร้ายพ่นสารพิษ “เลโวเฟนทานิล” เข้าที่หูของเขา ในเดือนกันยายน ปี 1997 ส่งผลให้อยู่ในอาการโคม่า แต่รอดชีวิตมาได้ จากการที่บิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เข้ามากดดันให้เนทันยาฮูมอบยาถอนพิษตามที่กษัตริย์ฮุสเซนแห่งจอร์แดนร้องขอ

วางยาในอาหาร : วิคตอร์ ยุชเชนโก้ ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของยูเครนล้มป่วย ในช่วงระหว่างหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ในเดือนกันยายน ปี 2004 จากการรับสารพิษ “ไดออกซิน” ในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งคาดว่าถูกวางยาจากอาหารที่กินเข้าไปโดยเชื่อว่าเป็นฝีมือของฝั่งรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย แม้โชคดีที่ไม่เสียชีวิต แต่ผลข้างเคียงคือ เสียโฉมมีแผลเป็นทั้งใบหน้า

ชาใส่ยาพิษ : อเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก้ อดีตสายลับ “เคจีบี” ของรัสเซีย ซึ่งลี้ภัยอยู่ที่อังกฤษ ถูกวางยาจากการดื่มชาที่มีสารกัมมันตรังสี “โพโลเนียม-210” เข้าไปในปริมาณมาก ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2006 จนล้มป่วย และเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ในอีก 3 สัปดาห์ถัดมา ซึ่งก่อนตายเขาบอกกับตำรวจว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย คือผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าในครั้งนี้