“บุรีรัมย์ มาราธอน” จากไม่เคยอยาก กลายเป็นเสพติด…


บอกตามตรงนะครับผมเองเห็นภาพการแข่งขันวิ่งมาราธอนมาก็เยอะ รวมถึงเห็นรายการวิ่งการกุศลที่จัดขึ้นหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่สมัยเด็กๆ และช่วงที่ผ่านมาก็เห็นผู้คนโพสต์ภาพออกงานวิ่งบนโซเชียลมีเดียกันมากมาย แต่ความคิด “อยากจะไปวิ่งกับเขาบ้าง” ไม่เคยอยู่ในหัวเลย จวบจนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง

ด้วยความที่ผมเองมีภารกิจที่ต้องทำหน้าที่เป็นพิธีกรรายการ Destination of Speed ที่ออกอากาศทางช่อง 3SD ช่อง 28 ทุกคืนวันพฤหัสบดี เวลา 23.30 น. (แอบขายของซะเลย) และรายการนี้ส่วนใหญ่ก็จะเน้นหนักไปที่กิจกรรมของสนามแข่งรถ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประกอบกับเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีการจัดงานวิ่ง “บุรีรัมย์ มาราธอน” ขึ้นที่สนาม ด้วยหน้าที่ (ย้ำว่าด้วยหน้าที่นะครับ) จึงจำเป็นที่จะต้องสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อให้ได้ภาพของพิธีกรได้มีส่วนร่วมกับงานนี้ไปโผล่ในรายการบ้างอะไรบ้าง

แน่นอนว่าคนขี้เกียจวิ่งอย่างผม คงเลือกระยะไหนไม่ได้ นอกจากระยะสั้นที่สุด ซึ่งมีการจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับงานนี้ ก็คือ Fun Run 5.5 กิโลเมตร นอกเหนือจาก 3 ระยะมาตรฐานในการแข่งขันวิ่งมาราธอนทั่วไป ซึ่งแม้จะเป็นระยะสั้นที่สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมกังวลไม่น้อยเช่นกัน เพราะตั้งแต่ออกกำลังกายมา ไม่เคยวิ่งยาวๆถึง 5 กิโลเมตร หรือหากวิ่งบนสายพาน วิ่ง+เดิน อย่างเก่งก็ไม่เกิน 4 กิโลเมตร


อากาศในช่วงเช้าวันที่ 12 ก.พ. 2560 ลงไปถึง 16 องศาเซลเซียส ประกอบกับลมที่แรงมาก! ผมยืนสั่นแหง็กๆ อยู่ที่จุดสตาร์ท แต่สิ่งที่มันเหลือเชื่อและเปลี่ยนความคิดผมไปตั้งแต่วันนั้นคือ ความรู้สึกหลังได้วิ่งออกไปแล้ว มันฟินมาก อากาศที่เย็นสบาย ทำให้ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอย่างที่คาดไว้ ที่สำคัญผู้คนรอบข้างเป็นแรงกระตุ้นให้เราวิ่งไปข้างหน้าพร้อมๆกันแบบมีจุดหมาย ต่างจากการวิ่งออกกำลังกายคนเดียวที่แสนจะน่าเบื่อ

ในวันนั้นผมได้เห็น นักวิ่งสาวๆแจ่มๆมากมาย ได้เห็นผู้สูงอายุที่มีความฟิตระดับวัยรุ่นยังอาย ได้เห็นคู่รักจูงมือกันวิ่งไปตลอดเส้นทาง ได้เห็นคุณพ่อคุณแม่เข็นรถรถลูกน้อยร่วมวิ่งไปด้วยกัน ได้เห็นผู้ที่มีพิการทางกายแต่มีพลังใจเต็มเปี่ยมร่วมวิ่งไปกับวีลแชร์ของเขา ได้เห็นหลายๆคนทำ PB หรือศัพท์ในวงการวิ่งที่เรียกว่า Personal Best อันเป็นเวลาที่ดีที่สุดของตัวเองในระยะที่ลงวิ่ง

ซึ่งสุดท้ายระยะทาง 5.5 กิโลเมตรในวันนั้นของผมกับเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กลายเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนความคิดให้ผมอยากจะลุกขึ้นมาวิ่งในครั้งต่อๆไปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งผมเชื่้อว่าความรู้สึกนี้ มันคงอธิบายไม่ถูกจนกว่าคุณจะได้สัมผัสด้วยตัวเองครับ

เหมือนอย่างที่ พี่ติ๊ก ชีโร่ กล่าวเอาไว้ว่า “ออกมาวิ่ง ออกมาวิ่ง เด็ดขาดลีลาไปเลย!” (อ้าวผิดๆ นั่นออกมาเต้นครับ แหม่ กำลังจะจบสวยอยู่แล้วเชียว) อย่างว่าละครับช่วงนี้เบลอๆ สงสัยเป็นเพราะเสพติด (การวิ่ง) ก็เป็นได้