“งานเพื่องาน” ในวันแรงงาน

“งานเพื่องาน” ในวันแรงงาน

เช้าวันจันทร์ ที่เป็นวันหยุดและเป็นวันแรงงาน น่าจะทำให้หลายๆคนมีรอยยิ้มเปื้อนหน้าในตอนเช้าได้ไม่น้อย เพราะนอกจากไม่ต้องผจญกับรถติดแล้วพี่น้องแรงงานก็มีลุ้นว่าจะได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกันด้วย ถ้าอย่างนั้นมาคุยเรื่องเบาๆที่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆคนกันดีกว่าค่ะ เพราะช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสคุยกับพี่ๆน้องๆ ในวงการสื่อหลายคน ที่กำลังกังวลใจกับการเปลี่ยนแปลงของสื่อในยุคดิจิตอล และได้เห็นการล้มหายไปของหัวนิตยสาร และ หนังสือพิมพ์หลายฉบับ

นั่งฟังความคิดเห็นของแต่ละท่านก็พลันนึกไปถึง เจเรมี่ คลากสัน โปรดิวเซอร์ และ พิธีกรผู้บุกเบิกรายการ Top Gear รายการเกี่ยวกับรถยนตร์ ที่คนติดกันทั่วโลกเป็นรายการที่ทำเงินให้กับ BBC อย่างมหาศาล ขณะที่ เจเรมี่ เป็นที่กล่าวขานเรื่องของความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ ในการนำเสนอรูปแบบรายการที่ไม่เหมือนใคร รวมไปถึงพิธีกร ร่วมอย่าง เจมส์ เมย์ และ ริชาร์ด แฮมมอน ที่เคมีเข้ากันชนิดรายการไหลลื่นจนคนดูไม่รู้สึกว่า 60 นาทีของ Top Gear นั้นนานเกินไป

ผู้เขียนเองก็เป็นแฟนรายการ Top Gear มานานความสนุกของรายการนี้คือ พิธีกร ที่เป็นคนนำรายการ แม้จะมีสคริปต์ แต่ก็สามารถแตกออกนอกสคริปต์ได้อย่างสร้างสรรค์ ความสามารถเฉพาะตัวของ เจเรมี่ คลากสัน เจมส์ เมย์ และ ริชาร์ด แฮมมอน นั้นสูงมากทั้งการทดสอบรถที่ให้คำตอบที่ถูกต้องแก่คนดู วิธีการเลือกเทสต์รถโดยไม่สนใจค่ายรถ รวมไปถึง Stig นักทดสอบรถที่ไม่เปิดเผยตัว ที่เรียกความสนใจได้ทุกครั้ง และ แขกรับเชิญในรายการหลายคน ก็พ่ายแพ้ให้กับ Stig

แต่อย่างว่า คนเก่ง มักมีจุดอ่อนเรื่องอารมณ์เพราะตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีของรายการ Top Gear ผู้บริหารBBC ต้องอดทนกับพฤติกรรมของ เจเรมี่ ที่นอกจากจะปากร้าย เหยียดคนแล้ว ยังชอบมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับทีมงานของ BBCและจุดพีคที่ทำให้ถูกไล่ออกจากตำแหน่งพิธีกรรายการ Top Gear ก็เป็นเพราะ เจเรมี่ ดันไปต่อยหน้าโปรดิวเซอร์ เป็นความผิดที่ทำให้ฝ่ายบริหารของสถานีสามารถปลดพิธีกรชื่อดังพร้อมรอยยิ้มหยันบนใบหน้าได้อย่างสบายใจ

แน่นอนว่าการประกาศปลดเจเรมี่ คลากสัน ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่เฉพาะในเกาะอังกฤษเท่านั้น แต่เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ผู้เขียนนั่งดูภาพเจเรมี่ ที่ออกมาจากตึกสำนักงานใหญ่ BBC ในขณะที่ฝนกำลังตก ผู้สื่อข่าวล้อมหน้าล้อมหลัง แต่คนอย่าง เจเรมี่ “โนสน โนแคร์” อยู่แล้ว ขึ้นรถสปอร์ตส่วนตัวขับฝ่าฝน และ กลุ่มนักข่าวออกไปพร้อมกับคำพูดทิ้งท้ายประมาณว่า “ช่วงนี้ขอพักแพรบ”

หลังจาก BBC ประกาศปลดเจเรมี่ ไม่นาน เพื่อนสนิทที่ร่วมจัดรายการกันมานานนับสิบปีอย่าง เจมส์ เมย์ และ ริชาร์ด แฮมมอน ก็ลาออกตาม พร้อมกับมีข่าวว่า เจเรมี่ เตรียมผลิตรายการออนไลน์ ให้กับ Amazon TV ขณะที่บีบีซี ก็ตั้งทีม Top Gear ขึ้นมาใหม่ โดยหวังว่าจะทำให้คนดูลืมภาพเก่าๆของรายการด้วยการเชิญดีเจ และ พิธีกรชื่อดังอย่าง คริส อีแวนส์ มาเป็นตัวหลัก

เป็นการวัดกันที่สนุกนะคะ เพราะนี่คือการดวลกันของคู่ชกที่เรียกได้ว่า คนละรุ่นกันเลยฝั่งหนึ่งเป็นเพียง ผู้ผลิตรายการแม้จะมีชื่อเสียงอยู่มาก แต่อีกฟากหนึ่งคือสถานีโทรทัศน์ที่เรียกได้ว่าเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ของโลก แต่เมื่อผลของการดวลออกมา สนุกยิ่งกว่า เพราะรายการ The Grand Tour ของ เจเรมี่ คลากสัน เจมส์ เมย์ และ ริชาร์ด แฮมมอน ซึ่งปล่อยตัวอย่างออกมาในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปี 59 มียอดดาวน์โหลดมาชมแค่วันเดียวก็หลักแสน ในขณะที่ Top Gear เผชิญกับวิกฤติอย่างหนัก เพราะเรตติ้งร่วงลงอย่างไม่เป็นท่า และ สุดท้าย คริส อีแวนส์ ต้องขอลาออกจากตำแหน่งผู้ดำเนินรายการหลัก

ทุกวันนี้ รายการ Top Gear ยังมีอยู่ค่ะ แต่ก็อยู่ไปอย่างแกนๆ ขณะที่ The Grand Tour ของ เจเรมี่ คลากสัน ที่ผลิตกับ Amazon TV นั้นแม้ต้องรับชมแบบ Pay per View ก็มียอดผู้ชมทะลุหลักล้านและถึงแม้จะไม่มีใครประกาศอย่างเป็นทางการ ถึงชัยชนะเหนือ บีบีซี ของเจเรมี่ แต่ สิ่งที่พิธีกรรายนี้ พิสูจน์ ให้คนทำงานทั่วโลกเห็นอย่างหนึ่งคือ “ถ้าเป็นตัวจริงแล้ว อย่างไรเสียก็มีทางไป” แม้ว่า รูปแบบ หรือ แพลทฟอร์ม จะเปลี่ยนไปก็มิใช่ปัญหา เพราะการทำงานเพื่องานสุดท้ายคุณก็จะรักษาพื้นที่ของคุณเอาไว้ได้ และเรื่องแบบนี้ไม่ต้องไปอธิบายให้ใครฟังเพราะตรรกะของคนที่ไม่เคารพในอาชีพของตนเองนั้นเขาจะไม่มีวันเข้าใจ