ย้อนอดีตกับเรื่องที่ต้องรู้ “สงครามโลกครั้งที่ 2”

สงครามโลกครั้งที่ 2 ถือเป็นสงครามที่มีผลพวงมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยกินเวลายาวนานถึง 6 ปี ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1939-1945 ก่อนที่ชัยชนะจะตกเป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร และสงครามครั้งนี้นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง เพราะมีผู้บริสุทธิ์ที่ต้องสังเวยชีวิตจำนวนมาก

ชนวนเหตุที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2

  • สนธิสัญญาแวร์ซายส์หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 : ประเทศที่แพ้สงครามต่างไม่พอใจสนธิสัญญาดังกล่าว โดยเฉพาะเยอรมนีที่เสียเปรียบทุกประตู
  • สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ : ประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้เกิดปัญหาสภาพเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
  • ชาตินิยมเบ่งบาน : หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่งผลให้ประเทศต่างๆ ในยุโรปมีความเป็นชาตินิยมอย่างแรงกล้า โดยเฉพาะประเทศที่แพ้สงคราม
  • ระบอบเผด็จการ : ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่สงบและสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้หลายประเทศหันไปใช้ระบอบเผด็จการ อาทิ เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสหภาพโซเวียต
  • ความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติ : องค์การดังกล่าวก่อตั้งขึ้นโดยประเทศที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อแก้ปัญหากรณีพิพาทระหว่างประเทศอย่างสันติวิธี แต่กลับไม่สามารถแก้ปัญหาได้

สงครามระหว่าง 2 ฝ่าย

สงครามโลกครั้งที่ 2 มีด้วยกัน 2 ขั้ว คือ ฝ่ายอักษะ ที่ประกอบด้วย เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี เป็นแกนนำ ร่วมด้วย บัลแกเรีย ฮังการี โรมาเนีย โครเอเชีย และสโลวะเกีย
ฝ่ายสัมพันธมิตร ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน และสหภาพโซเวียต ที่เป็นแกนนำ โดยระหว่างปี 1939-1944 มีประเทศที่เข้าร่วมด้วยหลายสิบประเทศ ก่อนที่ในปี 1945 ออสเตรเลีย เบลเยียม บราซิล เครือจักรภพอังกฤษ แคนาดา อินเดีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ เชกโกสโลวะเกีย เดนมาร์ก ฝรั่งเศส กรีซ เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ ฟิลิปปินส์ และ ยูโกสลาเวีย จะเข้าร่วมด้วย

กองกำลังที่เข้าร่วมสงคราม

  • สหภาพโซเวียต : เสียชีวิต 7,500,000 บาดเจ็บ 5,000,000
  • เยอรมนี : เสียชีวิต 3,500,00 บาดเจ็บ 7,250,000
  • จีน : เสียชีวิต 2,200,000 บาดเจ็บ 1,762,000
  • ญี่ปุ่น : เสียชีวิต 1,219,000 บาดเจ็บ 295,247
  • สหรัฐฯ : เสียชีวิต 405,399 บาดเจ็บ 670,846
  • ออสเตรีย : เสียชีวิต 380,000 บาดเจ็บ 350,117
  • สหราชอาณาจักร : เสียชีวิต 329,208 บาดเจ็บ 348,403
  • โปแลนด์ : เสียชีวิต 320,000 บาดเจ็บ 530,000
  • โรมาเนีย : เสียชีวิต 300,000 บาดเจ็บ ไม่ทราบจำนวน
  • ฝรั่งเศส : เสียชีวิต 210,671 บาดเจ็บ 390,000
  • ฮังการี : เสียชีวิต 140,000 บาดเจ็บ 89,313
  • อิตาลี : เสียชีวิต 77,494 บาดเจ็บ 120,000
  • แคนาดา : เสียชีวิต 37,476 บาดเจ็บ 53,174
  • ออสเตรเลีย : เสียชีวิต 23,365 บาดเจ็บ 39,803
  • บัลแกเรีย : เสียชีวิต 10,000 บาดเจ็บ 21,878
  • เบลเยียม : เสียชีวิต 7,760 บาดเจ็บ 14,500

ลำดับเหตุการณ์

  • 1 กันยายน 1939 : เยอรมนีบุกรุกดินแดนของโปแลนด์, เดนมาร์ก, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เบลเยียม และฝรั่งเศส
  • 10 มิถุนายน 1940 : อิตาลีประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส โดยอยู่ฝั่งเดียวกับเยอรมนี
  • 14 มิถุนายน 1940 : กองกำลังเยอรมนีบุกเข้ากรุงปารีส ฝรั่งเศส
  • กรกฎาคม 1940-กันยายน 1940 : เยอรมนีและสหราชอาณาจักรทำสงครามทางอากาศ
  • 7 กันยายน 1940-พฤษภาคม 1941 : เยอรมนีทิ้งระเบิดใส่สหราชอาณาจักร ที่รู้จักกันในชื่อ ยุทธการ “เดอะ บลิตซ์”
  • 22 มกราคม 1941 : กองกำลังของสหราชอาณาจักร เข้ายึดครองโทบรุค เมืองท่าเรือของลิเบีย
  • 22 มิถุนายน 1941 : เยอรมนีบุกสหภาพโซเวียต
  • กันยายน 1941 : กองกำลังญี่ปุ่นบุกอินโดจีน
  • 7 ธันวาคม 1941 : ญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ สหรัฐอเมริกา ทำลายเครื่องบินไปกว่าครึ่ง ขณะที่เรือรบทั้ง 8 ลำของสหรัฐฯ เสียหายทั้งหมด
  • 8 ธันวาคม 1941 : สหรัฐฯประกาศสงครามกับญี่ปุ่น , ญี่ปุ่นบุกฮ่องกง, เกาะกวม, หมู่เกาะเวก, สิงคโปร์ และบริติชมาลายา
  • 11 ธันวาคม 1941: เยอรมนีและอิตาลีประกาศสงครามกับสหรัฐฯ
  • ธันวาคม 1941 : ญี่ปุ่นเข้ารุกรานไทย, เกาะกวม, ฮ่องกง และหมู่เกาะเวก
  • 1942 : ฝ่ายสัมพันธมิตรยุติการรุกรานของฝ่ายอักษะในแอฟริกาเหนือและสหภาพโซเวียตได้สำเร็จ
  • กุมภาพันธ์ 1942 : ญี่ปุ่นเข้ารุกรานคาบสมุทรมลายู และสิงคโปร์ยอมจำนนภายในเวลาแค่สัปดาห์เดียว
  • 4-6 มิถุนายน 1942 : ญี่ปุ่นวางแผนบุกฮาวาย โดยเริ่มจากเกาะมิดแลนด์ แต่สหรัฐฯ ล่วงรู้แผนการจากการถอดรหัสลับ ส่งผลให้การโจมตีมิดแลนด์ ญี่ปุ่นเสียเรือบรรทุกเครื่องบิน 4 ลำ และเครื่องบินกว่า 200 ลำ
  • 19 สิงหาคม 1942 : เยอรมนีสู้รบกับรัสเซีย เพื่อหวังเข้ายึดครองสตาลินกราด
  • 7 สิงหาคม 1942- 9 กุมภาพันธ์ 1943 : นาวิกโยธินสหรัฐฯ บุกกัวดัลคาแนล ในหมู่เกาะโซโลมอน ก่อนเข้ายึดครองได้สำเร็จ
  • 23 ตุลาคม 1942 : กองกำลังของอังกฤษทำให้ทหารฝ่ายอักษะต้องล่าถอยจากตูนิเซีย ในการสู้รบครั้งที่ 2 ที่เอล อลาเมน
  • 1 กุมภาพันธ์ 1943 : กองกำลังของเยอรมนียอมแพ้ในการสู้รบที่สตาลินกราด
  • 10 กรกฎาคม 1943 : ฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ายึดพื้นที่ในอิตาลี
  • 25 กรกฎาคม 1943 : กษัตริย์อิตาลีกลับคืนสู่อำนาจ เบนิโต มุสโสลินีถูกปลดจากตำแหน่งผู้นำอิตาลีและถูกจับกุม
  • พฤศจิกายน 1943 – มีนาคม 1944 : นาวิกโยธินสหรัฐฯ บุกเกาะโซโลมอน เพื่อยึดเกาะคืนจากญี่ปุ่น
  • 6 มิถุนายน 1944 : ฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี ฝรั่งเศส
  • 25 สิงหาคม 1944 : ฝ่ายสัมพันธมิตร สหรัฐอเมริกา และกองทัพเสรีฝรั่งเศส ปลดปล่อยกรุงปารีสจากการปกครองของเยอรมนี
  • 27 มกราคม 1945 : กองกำลังโซเวียต ปลดปล่อยเชลยศึกจากค่ายกักกัน เอาช์วิทช์ ใกล้เมืองกรากุฟ โปแลนด์
  • 19 กุมภาพันธ์ – 26 มีนาคม 1945 : นาวิกโยธินสหรัฐฯ สู้รบกับญี่ปุ่น เพื่อยึดครองเกาะอิโวะจิมะ
  • 12 เมษายน 1945 : ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลต์ ของสหรัฐฯ ถึงแก่อสัญกรรม แฮร์รี่ ทรูแมน รองประธานาธิบดี ขึ้นรับตำแหน่งแทน
  • 25 เมษายน 1945 : กองกำลังโซเวียตเข้าล้อมกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี
  • 28 เมษายน 1945 : มุสโสลินีถูกยิงเป้าประหารชีวิต หลังพยายามหนีไปสวิตเซอร์แลนด์
  • 29 เมษายน 1945 : ทหารสหรัฐฯ ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากค่ายกักกัน นาซีดาเคา ใกล้นครมิวนิค เยอรมนี
  • 30 เมษายน 1945 : อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเผด็จการของเยอรมนี และภริยา เอวา บรอน ฆ่าตัวตายในหลุมหลบภัย
  • 7 พฤษภาคม 1945 : เยอรมนีลงนามยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข ที่อาคารเรียนอิฐแดง ในเมืองแร็งส์ ฝรั่งเศส และให้มีผลในวันรุ่งขึ้น
  • 8 พฤษภาคม 1945 : สิ้นสุดสงครามในยุโรป หลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรรับการยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขของเยอรมนี
  • 16 กรกฎาคม 1945 : สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการทดลองการระเบิดปรมาณูครั้งแรกกลางทะเลทรายในรัฐนิวเม็กซิโก
  • 29 กรกฎาคม 1945 : สหรัฐฯ ยื่นข้อเสนอให้ญี่ปุ่นยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ญี่ปุ่นปฏิเสธ
  • 6 สิงหาคม 1945 : สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกถล่มฮิโรชิม่า มีผู้เสียชีวิต 140,000 ราย
  • 9 สิงหาคม 1945 : สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองถล่มนางาซากิ มีผู้เสียชีวิต 80,000 ราย
  • 14 สิงหาคม 1945 : ญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร และยอมรับปฏิญญาพอตสดัม ถือเป็นการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
  • 2 กันยายน 1945 : ญี่ปุ่นลงนามในสัญญายอมจำนน บนดาดฟ้าเรือรบ “USS มิสซูรี” ในอ่าวโตเกียว

ที่มา : edition.cnn.com