เดือนมีนาคมถือเป็นเดือนที่มีวันสำคัญต่างๆ ของโลกมากมาย ไล่ตั้งแต่ “วันสตรีสากล” ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มีนาคม , “วันนอนหลับโลก” ตรงกับศุกร์ที่ 2 ของเดือนมีนาคม และ “วันความสุขสากล” ที่ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม
“Earth hour” ปิดไฟลดโลกร้อน 1 ชั่วโมง
ขณะที่สุดสัปดาห์นี้ ก็จะเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งด้วยเช่นกัน เพราะทั่วโลกจะพร้อมใจกัน “ปิดไฟลดโลกร้อน” เป็นเวลานาน 1 ชั่วโมง กับกิจกรรม “Earth Hour” ที่มีขึ้นเป็นประจำทุกวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 25 มีนาคม
ความเป็นมาของ “Earth hour”
“Earth hour” เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2007 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน จากความริเริ่มขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) โดยเป็นโครงการที่หวังกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหา “ภาวะโลกร้อน” ที่ทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่
จึงมีการรณรงค์ให้ทุกครัวเรือนทั่วโลกร่วมกันปิดไฟพร้อมกันเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ช่วงระหว่าง 20.30 -21.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของแต่ละประเทศ โดยเริ่มจากที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียเป็นแห่งแรก และมีอีก 7,000 เมืองทั่วโลกที่ร่วมกับดับไฟ
170 ประเทศ ทั่วโลกร่วมปิดไฟ
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากในปีแรก ทำให้กิจกรรม “ปิดไฟลดโลกร้อน” ยังคงดำเนินต่อเนื่องในทุกปี โดยปัจจุบันมีเมืองต่างๆ ใน 170 ประเทศ จากทั้งหมด 195 ประเทศทั่วโลก ที่ให้ความสำคัญกับวันนี้ ซึ่งรวมถึงเมืองหลวงของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานครด้วย
ปิดไฟชั่วโมงเดียว ลดค่าไฟได้กว่า 8 ล้านบาท
เฉพาะแค่การปิดไฟพร้อมกันในพื้นที่กทม. ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. ของ Earth hour เมื่อปีที่แล้ว พบว่า สามารถลดการใช้ไฟลงได้ถึง 2,020 เมกะวัตต์ ลดคาร์บอนไดออกไซด์ 1,057 ตัน และลดค่าไฟได้กว่า 8.034 ล้านบาท!
และหากนับรวมสถิติตลอด 9 ปีที่ผ่านมา พบว่า สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 14,344 เมกะวัตต์ คิดเป็นมูลค่า 49.01 ล้านบาท และลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 72,171 ตัน ซึ่งเท่ากับการดูดซับของต้นไม้ 790,000 ตันเลยทีเดียว
แค่ชั่วโมงเดียว ปีละหน ร่วมด้วยช่วยกัน
แม้ว่าการปิดไฟพร้อมกันแค่ชั่วโมงเดียว ปีละ 1 ครั้ง หลายคนอาจมองว่าช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะอีก 8,759 ชั่วโมงที่เหลือ ก็ยังมีคนทั่วโลกที่เปิดไฟกันอยู่ แต่ถ้าทุกคนคิดแบบนี้เหมือนกันหมด และไม่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ที่พอช่วยได้กันก่อน ก็คงไม่ต้องสืบให้เสียเวลาว่า ทำไมโลกนี้ช่างอยู่ยากขึ้นทุกที!