มหกรรมฟุตบอลที่คนทั้งโลกรอคอยมากที่สุดกำลังจะเปิดฉากขึ้นที่ประเทศรัสเซีย แต่ก่อนจะชมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 วันนี้ Tonkit360 ขอพามาทำความรู้จักกับ โยอาคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์ ผู้ที่พาทีมอินทรีเหล็ก “เยอรมัน” คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 และหวังเป็นกุนซือทีมชาติคนแรกที่ป้องกันแชมป์โลกได้สำเร็จตามรอย วิคตอริโอ ปอซโซื ยอดกุนซือทีมชาติอิตาลี ที่ทำไว้เมื่อ 80 ปีก่อน
เส้นทางชีวิตค้าแข้งของ โยอาคิม เลิฟ
โยอาคิม เลิฟ เกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503) ที่ประเทศเยอรมันตะวันตก เลิฟ เริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งที่สโมสรไฟร์บวร์ก เมื่อ ค.ศ. 1978-1980 ก่อน เลิฟ จะย้ายออกไปค้าแข้งที่สโมสรอื่น แต่ไม่ว่าอย่างไร เลิฟ ก็วนเวียนกลับที่สโมสรไฟร์บวร์กอีก 2 ครั้ง เมื่อ ค.ศ. 1982-1984 และ 1985-1989 ก่อนปิดฉากการค้าแข้ง
ด้านผลงานทีมชาติ กลับพบว่า เลิฟ ไม่เคยติดทีมชาติเยอรมันตะวันตกชุดใหญ่ มากที่สุดก็อยู่แค่ชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี จำนวน 4 นัดเท่านั้น
การคุมทีมในระดับสโมสร
โยอาคิม เลิฟ เริ่มคุมทีมสตุ๊ตการ์ทตั้งแต่ ค.ศ. 1996-1998 (เลื่อนมาจากการเป็นผู้ช่วย) ผลงานการคุมทีม ก็มีถ้วยเดเอฟเบ โพคาล 1 สมัย และรองแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ อีก 1 สมัย
นอกจากนี้ เลิฟ ยังได้คุมทีมเฟเนร์บาห์เช่ ในประเทศตุรกี (ค.ศ. 1998-1999), คาร์ลสรูห์ (ค.ศ.1999-2000) และคุมทีมไทรอล อินนส์บรัค สโมสรในออสเตรีย โดยเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ในฤดูกาล 2001-2002 ก่อนย้ายมาคุมทีมออสเตรีย เวียน เป็นสโมสรสุดท้ายใน ค.ศ. 2004
เริ่มต้นกับตำแหน่งผู้ช่วยโค้ชทีมชาติเยอรมัน
เมื่อย้ายกลับมาจากออสเตรีย เลิฟ ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นผู้ช่วยของเจอร์เก้น คลินส์มันน์ ผู้จัดการทีมเยอรมันในขณะนั้น โดยมีภารกิจหลัก คือ การกู้สถานการณ์ทีมชาติเยอรมันให้พ้นจากวิกฤต และสร้างทีมสายเลือดใหม่ ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จ ในศึกฟุตบอลโลก 2006 เมื่อพาทีมชาติเยอรมันคว้าอันดับ 3 มาครอง
ก้าวสู่ตำแหน่งบุนเดสเทรนเนอร์ ลุยศึกยูโร 2008
เส้นทางบนเวทีผู้จัดการทีมชาติเยอรมันคงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสียแล้ว หลัง เลิฟ เจอกระแสวิจารณ์เรื่องการวางแผนที่ผิดพลาด จนทีมพ่ายสเปนในนัดชิงชนะเลิศ 0-1 แถม เลิฟ ยังถูกแบนไม่ให้คุมทีมข้างสนาม ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังมีปัญหากับผู้ตัดสินที่ 4 ในรอบแรก
โยอาคิม เลิฟ กับศึกฟุตบอลโลก 2010
ในปี 2010 โยอาคิม เลิฟ นำขุนพลอินทรีเหล็ก ประกาศศักดาบนสังเวียนฟุตบอลโลกอีกครั้ง ด้วยการพาทีมถล่มอังกฤษในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 4-1 และชนะอาร์เจนตินา 4-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ขุนพลอินทรีเหล็กก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน หลังพ่ายสเปน คู่ปรับเก่าศึกยูโร 2008 ในรอบรองชนะเลิศ ส่งผลให้ทีมชาติเยอรมัน ได้อันดับ 3 เป็นสมัยที่สอง
สู้ศึกยูโร 2012 อีกครั้ง
ในศึกยูโร 2012 เป็นการคุมทีมลุยศึกยูโรครั้งที่ 2 ของเลิฟ ครั้งนี้ทีมชาติเยอรมัน เจองานหนัก หลังจับสลากมาอยู่ในกลุ่มเนเธอร์แลนด์, โปรตุเกส และเดนมาร์ก แต่ทีมชาติเยอรมัน ก็สามารถฝ่าเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะพ่ายให้กับ อิตาลี หนึ่งในคู่ปรับเก่าที่เคยเขี่ยเยอรมันตกรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006
ฟุตบอลโลก 2014 ความสำเร็จที่รอคอยมา 24 ปี
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 โยอาคิม เลิฟ ประกาศว่า ในการลุยฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 หากเขาไม่สามารถพาเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ จะลาออกจากตำแหน่ง แต่สุดท้าย เยอรมันก็สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จ หลังชนะอาร์เจนตินา 1-0 ถือเป็นการคว้าแชมป์โลก เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี
เรื่องข้างสนามของ เลิฟ ที่มาคำว่า “ยอดกุนซือจอมซกมก”
วีรกรรมข้างสนามของ โยอาคิม เลิฟ ถือเป็นที่โจษจันอย่างมาก เมื่อตากล้องสามารถจับภาพได้ว่า ระหว่างที่เลิฟนั่งคุมทีมอยู่นั้น มือของเขามักจะเผลอแคะจมูก ก่อนเอาขี้มูกเข้าปาก กินอย่างสบายใจเฉิบ นอกจากนี้ ยังมีช็อตที่เลิฟนำมือล้วงรักแร้ของตัวเอง ก่อนเอามาดมอีกด้วย
และอีกหนึ่งช็อตเด็ด คือ หลังจบเกมยูโร 2016 รอบแบ่งกลุ่มนัดแรกที่เยอรมัน เอาชนะ ยูเครน 2-0 เลิฟ ถูกจับภาพได้ว่า แอบเอามือไปล้วงกางเกงของตัวเองแล้วเอามาดมต่อ ซึ่งเขาได้ออกมากล่าวขอโทษ พร้อมย้ำว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกในอนาคต
หลังจากนี้ คงต้องดูต่อไปว่า ในศึกฟุตบอลโลก 2018 โยอาคิม เลิฟ จะพาทีมชาติเยอรมันป้องแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้ได้หรือไม่
ภาพจาก uk.sports.yahoo.com, springnews.co.th, @PremLRK, dfb.de, @PremLRK, @Kurudi_,
@mbfussball_en