เหตุโศกสลดบนโลกใบนี้มีด้วยกันหลายเรื่อง แต่ที่น่าสลดใจที่สุดคือเหตุฆ่าตัวตายหมู่ที่ทำให้คนต้องตายเพราะความศรัทธาจนไม่ลืมหูลืมตาของตนเอง มีตัวอย่างเหตุโศกนาฏกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้งและทุกครั้งถือเป็นบทเรียนสำหรับคนที่อยู่ต่อ เพื่อที่จะไม่ให้เรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ เกิดซ้ำขึ้นอีก
ลัทธิพีเพิลออฟเทมเปิล (1978)
เจ้าลัทธิ จิม โจนส์
ผู้เสียชีวิตจากเหตุฆ่าตัวตายหมู่ 918 ราย
จิม โจนส์ ในฐานะนักเทศน์ชื่อดัง และพยายามจะสร้างโลกใหม่ที่มีแต่ความเท่าเทียมกันในยุคที่สหรัฐอเมริกา เต็มไปด้วยการเหยียดสีผิว ทำให้ จิม โจนส์ กลายเป็นที่พึ่งของคนที่รู้สึกว่าสังคมเริ่มไม่น่าอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนผิวสี ความนิยมของโจนส์ นั้นถึงขีดสุด เมื่อมีการจัดฉากให้ นักเทศน์ชื่อดังมีพลังพิเศษสามารถรักษาคนป่วยได้ และด้วยพลังศรัทธาที่มากขึ้น ทำให้จิม โจนส์ ได้เริ่มเริ่มเรี่ยไรสาวกให้ช่วยกันบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดที่มี ให้แก่โบสถ์มากที่สุด โดยบอกว่าการบริจาคเหล่านี้ คือหนทางสู่การหลุดพ้น ทำให้คนสามารถขึ้นสวรรค์ได้ โดยตั้งชื่อลัทธิของตนเองว่า People of Temple แต่ภายหลังมีผู้ตั้งข้อสงสัยในลัทธิของ จิม โจนส์ ทำให้เขาตัดสินใจไปสร้างเมืองแห่งความเชื่อของตนเองใหม่ในดินแดนอเมริกาใต้ ที่เมือง Guyana โดยตั้งชื่อว่า โจนส์ทาวน์ เป็นเมืองที่สมาชิกลัทธิอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมกัน มีอะไรก็แบ่งปันกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นหลายคนถูกใช้งานอย่างหนัก เมื่อเจ็บป่วยกลับถูกทิ้งอย่างไม่ใยดี
จนกระทั่งมีสมาชิกลัทธิที่ทนการกดขี่ของ จิม โจนส์ ไม่ไหวออกมาแฉเรื่องราวต่อสังคมโลกจนทำให้วุฒิสมาชิก ลีโอ ไรอัน แห่งพรรคเดโมแครต จากซานฟรานซิสโก ได้ทำหนังสือถึงจิม เพื่อขอเข้าตรวจสอบโจนส์ ทาวน์ โดยอ้างว่า ได้รับการร้องเรียนจากอดีตสาวกและครอบครัวของสาวกที่ยังอยู่ในเมือง โจนส์ ทาวน์ เมื่อ นายลีโอ พร้อมกับนักข่าวเข้าไปตรวจสอบ เขาก็พบกับความผิดปกติ หลายอย่างสมาชิกของลัทธิหลายคนมาขอให้ช่วยพาหลบหนี จนเมื่อทีมตรวจสอบของวุฒิสมาชิก ลีโอ รู้แล้วว่า โจนส์ ทาวน์ ไม่ใช่ดินแดนในฝันอย่างแท้จริง พวกเขาและผู้สื่อข่าวจึงพาสมาชิกบางส่วนหลบหนี แต่ ก็ไม่สามารถรอดพ้นได้ เพราะท้ายที่สุดบรรดาสาวกที่ซื่อสัตย์ ของ จิม โจนส์ได้ตามมาฆ่า คณะของ วุฒิสมาชิก ลีโอ ไรอัน และ ผู้สื่อข่าว NBC เสียชีวิตทั้งหมดที่สนามบิน มีเพียง นักบินคนเดียวที่รอดชีวิตไปได้
จากเหตุการณ์ดังกล่าว จิม โจนส์ รู้ดีว่าเขาจะต้องถูกตามล่าจากรัฐบาลสหรัฐอย่างแน่นอน 18 พฤศิจกายน 1978 นักเทศน์ลวงโลกเรียกประชุมสาวกทั้งหมดใน โจนส์ ทาวน์ แล้วกล่าวถึงเหตุการณ์ที่พวกคนนอกศาสนาจะมาฆ่าสมาชิกของเมือง อย่างโหดร้ายเขาเลยชักชวนให้เหล่าสาวกที่ยังคงเชื่อในตัว จิม โจนส์ อยู่อย่างเต็มหัวใจทำการฆ่าตัวตายหมู่ โดย จิม โจนส์ให้สาวกคนสนิทเอาปล่อยไซยาไนต์เข้ามาให้ห้องประชุม และใส่ลงไปในน้ำผลไม้เพื่อแจกจ่ายให้ทั่วถึงกัน การชักชวนดังกล่าวทำให้มีคนเสียชีวิตไปถึง 918 รายในจำนวนนั้นเป็นเด็กถึง 276 ราย ขณะที่เจ้าลัทธิอย่าง จิม โจนส์ ใช้ปืนพกยิงเข้าที่ศรีษะตนเองตายตามไป เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ ภาพที่ชวนสลดหดหู่คือจำนวนคนที่นอนตายกันเกลื่อนโดยรอบ โจนส์ทาวน์ มีทั้งพ่อแม่ลูก จับมือกันตาย หรือคู่รักที่นอนกอดกันตาย รวมไปถึงร่างของเด็กที่ไร้เดียงสา ที่ต้องมาตายก่อนเวลาอันควร
ลัทธิแบรนช์ดาวิเดียนส์ (1993)
เจ้าลัทธิ เดวิด โคเรช
ผู้เสียชีวิตจากเหตุฆ่าตัวตายหมู่ 79 ราย
ลัทธิแบรนช์ดาวิเดียนส์เป็นลัทธิที่เชื่อในการกลับมาอีกครั้งของพระเยซู มีผู้นำคือเดวิด โคเรช ซึ่งประกาศว่าตนเองคือผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย พฤติการณ์หลายอย่างของกลุ่ม เช่น การรับสตรีวัยรุ่นเข้ามาเป็นภรรยาของโคเรช การทำธุรกิจค้าอาวุธและความสงสัยว่าภายในลัทธิมีการทารุณเด็กทางเพศทำให้ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ปี 1993 เจ้าหน้าที่สำนักงาน คดี เหล้า บุหรี่ อาวุธ ปืน ระเบิด แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เข้าตรวจสอบภายในกลุ่มอาคารและเกิดการยิงต่อสู้กับสมาชิกของลัทธิ ทำให้เจ้าหน้าเสียชีวิต 4 นายและสมาชิกของลัทธิเสียชีวิต 6 คนเสียชีวิต
หลังการปะทะเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ มีการตัดระบบสาธารณูปโภครอบ ๆ กลุ่มอาคาร พร้อมทั้งเปิดการเจรจากับโคเรชแต่ไม่เป็นผล หลังปิดล้อมอยู่นาน 51 วันท่ามกลางสื่อมวลชนที่ทำการถ่ายทอดสดเหตุการณ์อันน่าโศกสลดนี้ ในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1993 เจ้าหน้าที่ FBI พร้อมด้วยยานยนต์หุ้มเกราะนำกำลังเข้าจู่โจม โดยใช้แก๊สน้ำตาเพื่อกดดันให้สมาชิกของลัทธิออกจากอาคารช่วงเที่ยงของวัน กลุ่มอาคารได้เกิดเหตุเพลิงไหม้และพังลงมา ทำให้สมาชิกของลัทธิส่วนใหญ่ที่เป็นเด็กและผู้หญิงขาดอากาศหายใจและถูกไฟคลอกเสียชีวิต เดวิด โคเรช ผู้นำลัทธิก็เสียชีวิตในวันนั้นเช่นกันจากการถูกยิงที่ศีรษะ โดยภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์สถานที่เกิดเหตุ มีการสรุปยอดของศพที่ค้นพบทั้งหมดในหุบเขาคาเมล ของฝ่ายลัทธิบรานซ์ ดาวิเดียนทั้งหมดมีจำนวน 79 ศพ เป็นศพผู้ใหญ่ 58 ศพ เด็กอีก 21 ศพ
เหตุการณ์นี้เป็นที่พูดถึงในแง่การทำเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่รวมถึงเหตุการณ์ที่แท้จริงขณะเกิดเหตุและที่มาของเพลิงไหม้ ที่ไม่ได้มาจากสมาชิกของลัทธิจุดไฟเผาเองแต่เป็น เจ้าหน้าที่ที่ตัดสินใจเร็วเกินไป และทำให้เกิดโศกนาฎกรรมหมู่โดยมีบรรดาสาวกของลัทธิที่กลายเป็นเหยื่อยของความเชื่อ
ลัทธิ ออร์เดอร์ ออฟ เดอะ โซล่า เทมเปิ้ล
เจ้าลัทธิ โจ ดิ มัมโบร และ ลุค จูเรต์
ผู้เสียชีวิตจากเหตุฆ่าตัวตายหมู่ 75 ราย
เจ้าลัทธิออร์เดอร์ ออฟ เดอะ โซล่า เทมเปิ้ล มีด้วยกันสองคนคือ โจ ดิ มัมโบร และ ลุค จูเรต์ ผู้ป่วยโรคจิตชาวสวิสก่อตั้งลัทธิในปี 1984 โดยสร้างความเชื่อแก่สาวกว่าตนเองคือ อัศวินแห่งทเพพลาร์ในศตวรรษที่ 14 ซึ่งมีพิธีกรรมแปลกและมีสาวกให้ความเชื่อถือเป็นจำนวนมากแต่ด้วยพื้นของ ลุค จูเรต์ ที่เป็นผู้ป่วยทางจิต อาการวิปริตของ ลุค จูเรต์ เผยออกมาในปี 1994 เมื่อเขาถือดาบกวัดแกว่งไปมาแล้วแทงทารกวัย 3 เดือนตายคาที่ โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์มาเกิดต่อหน้าผู้เป็นบิดามารดา อีก 15 วันต่อมา จูเรต์ก็เอายาพิษผสมเครื่องดื่มให้สาวกคนสนิท 15 คนกินจนเสียชีวิต ผู้ไม่ดื่มก็ถูกยิง หรือไม่ก็ถูกรมควันจนสำลักตาย เมื่อตำรวจบุกเข้าไปก็พบศพ 75 รายซึ่งเป็นสาวกและเจ้าลัทธิทั้งสองคน โจ ดิ มัมโบร และ จูเรต์ รวมอยู่ด้วย
ลัทธิโอมชินริเคียว
เจ้าลัทธิ โชโกะ อาซาฮาร่า
ผู้เสียชีวิตจากเหตุการฆ่าตัวตายหมู่ (2 ครั้ง) 20 ราย
โชโกะ อาซาฮาร่า ชาวญี่ปุ่นเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนาก่อตั้งลัทธิที่มีชื่อว่า “โอมชินริเคียว” ในปี ค.ศ.1984 เขาเผยแพร่คำสอน จนมีผู้เข้ามาเป็นสาวกทั้งในญี่ปุ่นและนอกประเทศกว่า 49,000 คน แต่ความน่ากลัวของลัทธิเกิดขึ้นเมื่อมีคนที่ต้องการตีตัวออกห่าง ได้มีกาตามสังหารสาวกเหล่านั้นเพราะเกรงว่าสาวกที่เอาใจออกห่างจะนำเอาความลับของลัทธิไปบอกแก่สื่อมวลชน ขณะที่เติบโตของลัทธินี้ก็อยู่ภายใต้การจับตาดูของเจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่น และ มีการสืบในทางลับจนพบว่า เจ้าลัทธิ โชโกะ อาซาฮาร่า อยู่เบื้องหลังในการสั่งให้สาวก ปล่อยแก๊ซซารินในเมืองมัตสึโมโต เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไป 8 รายเมื่อตำรวจเริ่มสอบสวนคดีใกล้ตัวอาซาฮาราเข้าไปทุกที อาซาฮาราก็สั่งให้สาวกปล่อยแก๊สซารินในสถานีรถไฟใต้ดินในมหานครโตเกียว 5 สาย ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 12 คน บาดเจ็บมากกว่า 6,000 คน ทำให้ญี่ปุ่นต้องแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในการตรวจสอบป้องกันและให้อำนาจสั่งเลิก และ ยุติลัทธิพิธีที่เห็นว่าอันตราย
ทั้งนี้ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าทลายสำนักงานใหญ่ของโอมชินริเคียว พบวัตถุระเบิด สารเคมี อาวุธเคมี และเฮลิคอปเตอร์ทำในรัสเซียเพื่อเตรียมไว้โปรยอาวุธเคมีสังหารผู้คน โดยเจ้าหน้าที่รายการงานว่า แก๊สซารินจำนวนมากพอที่จะฆ่าคนได้ถึง 4,000,000 คน อาซาฮาราถูกจับกุมดำเนินคดี และในปี 2549 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิต นาย โชโกะ อาซาฮาร่า วัย 51 ปี ผู้นำลัทธิโอม ชินริเกียว
เรียบเรียงข้อมูลจาก Internet, wikipedia, bizzardpedia
ภาพจาก Internet, Pinterest