RED SPARROW – มารยาหญิง และอำนาจที่ใฝ่หา

(***คำเตือน – หนังอุดมไปด้วยฉากรุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อ และฉากวาบหวิวมากมาย ไม่เหมาะกับเด็กน้อยไร้เดียงสา***)

ในโลกภาพยนตร์ หนังแนวสายลับที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำส่วนใหญ่จะมาในสไตล์แอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญเช่นแฟรนไชส์ 007, เจสัน บอร์น และ Mission Impossible กระนั้นก็ยังพอมีที่ทางให้กับหนังสายลับแนวซีเรียสสอดแทรกขึ้นมาบ้าง รวมถึง RED SPARROW หนังสายลับเรื่องล่าสุดที่ขอฉีกแนวไปหาเรื่องจิตวิทยาและความเร่าร้อนของสตรีเพศ

RED SPARROW พาคนดูไปสัมผัสบรรยากาศอันเย็นยะเยียบที่รัสเซีย เมื่อ โดมินิก้า อีโกโรว่า (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) นักเต้นหญิงที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ประสบอุบัติเหตุระหว่างแสดงต่อหน้าคนดูทำให้เธอไม่สามารถกลับมาเฉิดฉายบนเวทีได้อีก และเมื่อเธอกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ของชาติ ชีวิตความเป็นอยู่ที่เคยดี สวัสดิการที่ยอดเยี่ยม ก็ต้องถูกรัฐบาลสั่งยกเลิก แต่ขณะที่ชีวิตอยู่ในมรสุม เธอก็ได้รับข้อเสนอจากคุณอาที่ทำงานอยู่ในรัฐบาล ให้มาทำภารกิจเพื่อชาติ แลกกับการรักษาชีวิตของคุณแม่เอาไว้ นั่นคือทำภารกิจล้วงข้อมูลจากสายลับหนุ่มชาวอเมริกัน โดยใช้ความเป็นสตรีเพศและเรือนร่างเข้าแลกในฐานะ Sparrow (นางนกต่อ) ของรัฐบาล

เห็นชื่อของ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ (ผู้ไม่ได้เป็นญาติอะไรกับนางเอกเรื่องนี้) นั่งแท่นผู้กำกับ ก็พอนึกออกว่าตัวหนังจะเป็นยังไง แล้วก็เป็นไปตามที่คิดเพราะตลอด 1 ชั่วโมงครึ่งของหนัง ใช้วิธีเล่าเรื่องสไตล์จิตวิทยา เชือดเฉือนกันด้วยคำพูดและใช้สมองชิงไหวพริบกันมากกว่าจับปืนยิงกันให้ตายไปข้างเหมือนหนังสายลับสูตรสำเร็จทั่วไป ใครที่ไม่คุ้นชินสไตล์เล่าเรื่องแบบนี้มีสิทธิไปเฝ้าพระอินทร์ตั้งแต่ต้น….ขนาดผู้เขียนดูหนังพูดๆๆๆมาหลายเรื่อง เจอเรื่องนี้เข้าไปยังเกือบไม่รอด

และด้วยความที่หนังมีบทสนทนาค่อนข้างเยอะ ทำให้ตัวหนังเรียกร้องสมาธิจากคนดูสูงพอสมควร โดยเฉพาะฉากที่กลุ่มรัฐบาลรัสเซีย หรือ สหรัฐอเมริกา พูดคุยเรื่องแผนการของตัวเองที่ซับซ้อนพอตัว และปมเฉลยตอนท้าย ถ้าจับใจความพลาดหรือตามหนังไม่ทันจะพาลดูไม่รู้เรื่องไปเลย กระนั้นหนังก็ยังไม่ใจร้ายเกินไปเพราะมีฉากแอ็คชั่นใส่มาพอหอมปากหอมคอ แม้จะน้อยนิดแต่บอกเลยความรุนแรงระดับ 10 ฟันกันเลือดกระฉูด หักกระดูก ถลกหนังโชว์กันสดๆจนนึกว่าดูหนังตระกูลเชือดอยู่ ส่วนฉากเซ็กซี่ วาบหวิว ก็จัดเต็มไม่แพ้กัน อีกนิดเดียวก็เป็นหนังโป๊แล้ว

เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ซูเปอร์สตาร์ขวัญใจฮอลลีวูด มาพร้อมกับความทุ่มเทขั้นสุดกับบทสายลับหญิงผู้ถูกบีบให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ บทของเธอคล้ายกับ แคทนิส เอเวอร์ดีน จากเรื่อง The Hunger Games แต่เย็นชาไร้ความรู้สึกกว่า เพราะต้องทำสีหน้าเรียบเฉยทั้งเรื่องในฐานะสายลับ ซึ่งเทียบกันแล้วเรื่องเก่าทำได้ดีกว่า แต่สิ่งที่เธอให้มากกว่าเรื่องอื่นๆคือการเปิดเผยเนื้อหนังมังสา โชว์ความเซ็กซี่ เร่าร้อนแบบทะลุลิมิต จนต้องยอมรับว่าเธอแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ด้วยความสามารถและเสน่ห์ที่มี ถ้าไม่ใช่คนที่มีฝีมือและรูปร่างหน้าตาเป็นเลิศอย่าง เจน ลอว์ ก็ไม่รู้ว่าหนังจะดึงคนดูไปจนจบหรือไม่ เพราะคนอื่นก็ไม่ได้เล่นดีเด่นอะไร (ยกเว้น เจเรมี ไอรอนส์ นักแสดงจอมเก๋ากับบทบาทนายทหารระดับสูงของรัสเซีย ออกน้อยแต่เท่จับใจ)

ความน่าเสียดายของหนังคือการให้เวลากับฉากฝึกฝนสายลับ Sparrow ของ เจน ลอว์ กับเพื่อนๆน้อยไปหน่อยจนเราไม่ค่อยเชื่อว่าสาวนักเต้นบัลเลต์ที่ไร้เดียงสาตอนต้น จะกลายเป็นสายลับที่เก่งเรื่องการใช้เล่ห์เหลี่ยมมารยาภายในเวลาอันสั้นประหนึ่งส่งเข้าห้องกาลเวลาในการ์ตูนดราก้อนบอลแล้วออกมาเก่งเลย ขณะที่ตัวหนังเองก็มีความยาวเกินเหตุทั้งที่สามารถรวบรัดตัดตอนหลายๆฉากให้จบเร็วกว่านี้ได้ โดยเฉพาะเนื้อเรื่องช่วงระหว่าง โดมินิก้า เจอกับหัวหน้าจอมหื่นที่ใส่เข้ามาเยอะยืดยาดชวนหาว

สิ่งที่หนังสอดแทรกไว้น่าสนใจคือบทบาทของสุภาพสตรีในสังคม อย่างที่รู้กันว่าถึงปัจจุบันผู้หญิงจะมีสิทธิมีเสียงในสังคมมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่โลกใบนี้ก็ยังมอบสิทธิและอำนาจไว้ให้กับผู้ชายอยู่ดี กระนั้นเอง สิ่งเดียวที่สามารถสยบอำนาจของเหล่าพวกผู้ชายได้ก็คือสเน่ห์ความเป็น “สตรีเพศ” หรือความเก่งกาจที่ทำให้ผู้ชายอกสามศอกยอมรับ เช่นในเรื่องนี้ โดมินิก้า ทีแรกเธอเองก็ตกอยู่ในสถานะเครื่องมือของรัฐบาล แต่เมื่อเธอยกระดับศักยภาพขึ้นมาได้ ก็สามารถใช้ความเซ็กซี่ มนต์เสน่ห์ทางเรือนร่าง บวกกับความฉลาดหลักแหลมเอาชนะพวกผู้ชายทั้งฝั่งรัสเซียและอเมริกาได้อยู่หมัด เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ (ฉากที่ โดมินิก้า แสดงสีหน้าและกิริยาทางกายยั่วยวนใส่คุณอาของเธอจนทำให้อีกฝ่ายอ่อนระทวยได้คือตัวอย่างที่ดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังโดนอาตัวเองบีบบังคับอยู่เลย)

เพราะสำหรับผู้ชายแล้ว อาวุธที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่มีดหรือปืนผาหน้าไม้ แต่เป็น “มารยา” ของผู้หญิงต่างหากที่น่ากลัวเหนือสิ่งอื่นใด…