ในบรรดาการกระทำทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวันของคนเราที่อาจเข้าข่ายว่าทำผิดกฎหมายนั้น “การหมิ่นประมาท” น่าจะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นง่ายมากที่สุดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เรามีโซเชียลมีเดียอยู่ในมือ เมื่อไรก็ตามที่หัวร้อนแล้วควบคุมอารมณ์ไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือมือลั่นโพสต์ด่าคู่กรณีแบบลอย ๆ บนหน้าไทม์ไลน์ของตัวเอง หรือบางทีแค่อาจจะอินกับเรื่องใต้เตียงของดารามากไปหน่อย จนเผลอแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาแบบไม่ได้กลั่นกรองให้ดีว่ามันเหมาะสมหรือไม่ ทำให้คนอื่นเสียหายหรือเปล่า ด้วยเข้าใจว่าทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็น
จริงอยู่ที่คนเรามีสิทธิแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ตัวเองคิดผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งในพื้นที่ของตนเองและพื้นที่ของบุคคลอื่น แต่สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลาก็คือ ถ้อยคำต่าง ๆ ที่เราจะพูดหรือเขียน (พิมพ์) ออกไปนั้น จะต้องไม่ทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบในเชิงลบ ได้รับความเดือดร้อน หรือถูกเกลียดชังจากบุคคลอื่น แต่เอาเข้าจริง ในวินาทีที่เราพิมพ์ด้วยอารมณ์อยู่หลังแป้นคีย์บอร์ดนั้น ไม่ค่อยจะมีคนตระหนักถึง “สิทธิที่มีแต่ต้องไม่ละเมิดคนอื่น” เท่าไรนัก บางทีเราอาจจะพิมพ์และกดโพสต์ไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไร หรืออาจจะมีเจตนาแค่พิมพ์ขำ ๆ สนุก ๆ พูดลอย ๆ ถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ถ้าบุคคลนั้นเขาไม่ขำด้วย ก็อาจจะนำมาซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “หมิ่นประมาท” แบบไม่รู้ตัว
ด่าฟรีไม่มีในโลก โพสต์ระบายลอย ๆ อาจถูกฟ้องหมิ่นประมาทโดยไม่รู้ตัว
เวลาที่ไม่พอใจใครแล้วรู้สึกคันปากอยากจะด่า (หรือคันไม้คันมืออยากจะโพสต์ด่าลงโซเชียลมีเดีย) เรื่องใหญ่อาจจะตามมาทันทีเมื่อคุณไม่ได้แค่คิดด่าเขาอยู่ในใจ ซึ่งมันกลายเป็นสิ่งที่เราต้องระมัดระวังกันให้มากด้วยในปัจจุบัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณโพสต์ขึ้นโลกออนไลน์นั้นมันเร็วมาก มีคนเห็นเร็ว ถูกส่งต่อเร็ว แถมการแคปฯ ภาพหน้าจอเพื่อเก็บหลักฐานมันก็ไม่ได้ใช้เวลาหรือยากเย็นอะไร ต่อให้คุณโพสต์ปุ๊บลบปั๊บ ก็มีคนแคปฯ ภาพนั้นได้ไวกว่าคุณ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ร่องรอยบนโลกออนไลน์นั้นมันตามได้ไม่ยาก ต่อให้คุณจะใช้แอ็กเคานต์อวตารหรือใช้เล่ห์เหลี่ยมสุดแพรวพราวในการปิดบังตัวตน คุณก็จะถูกตามรอยได้ในที่สุด
แม้ว่าการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ทุกคนสามารถแสดงออกกันได้ และมีบัญญัติในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน แต่ก็ต้องย้ำกันอีกหลาย ๆ ครั้งว่ามันจะต้อง “ไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น” ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่คำด่าของคุณโลดแล่นออกมาจากสมองของคุณไปอยู่บนหน้าจอโลกออนไลน์ หรือหลุดจากปากของคุณไปเข้าหูผู้เสียหายและมีบุคคลที่ 3 รับรู้ โดยข้อความเหล่านั้นทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกเกลียดชัง และไม่มีมูลความจริง ผู้เสียหายก็มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะดำเนินการตามกฎหมายคดีหมิ่นประมาทกับคุณได้ ด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น มีพื้นฐานมาจากความไม่ต้องการให้คนในสังคมด่ากันเองโดยไม่มีกฎเกณฑ์ควบคุม
ส่วนคุณที่เจอหมายศาลฟ้องคดีหมิ่นประมาท ก็อาจจะต้องเสียเวลาไปขึ้นโรงขึ้นศาล และเสียทรัพย์โดยไม่จำเป็น เพราะฉะนั้น ต่อไปหากคิดอยากด่าใคร ด่าแค่ในใจก็พอ หรือจะเขียนใส่สมุดบันทึกของตัวเองแล้วเก็บให้มิดชิดที่สุด อย่าคิดว่าแค่เขียนเล่นสนุก ๆ ไม่เห็นจะเป็นอะไร หรือก็แค่ตะโกนด่าออกไปตามอารมณ์โกรธ เพราะสิ่งที่เราพูด เราเขียน เราโพสต์ลงบนโลกออนไลน์ อาจเข้าข่ายการหมิ่นประมาทผู้อื่นได้ทั้งสิ้น ด้วยถ้อยคำที่หมิ่นประมาทนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้คำที่ก้าวร้าวหยาบคาย แม้เป็นคำพูดสุภาพก็อาจจะเป็นหมิ่นประมาทได้ แค่เป็น “การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง”
แบบไหนที่เข้าข่าย “หมิ่นประมาท”
หากไม่แน่ใจว่าการกระทำแบบใดจะเข้าข่ายหมิ่นประมาท ให้อ่านตรงนี้ให้ดี ๆ ว่าคือ การใส่ความผู้อื่น ถือเป็นการหมิ่นประมาท ซึ่งหมายถึงการแสดงพฤติกรรมอันเป็นข้อเท็จจริงประการใดประการหนึ่งของผู้ถูกหมิ่นประมาท โดยอาจกระทำด้วยวาจา กิริยาท่าทาง การเขียน พิมพ์ หรือวิธีการใด ที่ปรากฏเป็นภาพ หรือลักษณะอื่นใดที่ทำให้บุคคลที่สามเข้าใจได้ว่าหมายถึงใคร ซึ่งอาจทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง นอกจากนี้ เรื่องที่หมิ่นประมาทต้องเป็นเรื่องในอดีตหรือปัจจุบันด้วย หากเป็นเรื่องอนาคต ก็ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าเป็นเพียงคำทำนายหรือคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ถือว่าเป็นการใส่ความ
ส่วนผู้ที่ถูกใส่ความ ต้องทำให้เข้าใจได้ทั่วไปว่าหมายถึงใคร ซึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจง แม้ไม่ได้ระบุชื่อออกมาอย่างชัดเจน แต่สามารถทำให้ผู้อื่นเข้าใจได้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร และต้องเป็นการใส่ความกับบุคคลที่สามที่สามารถเข้าใจเรื่องราวที่ใส่ความกันได้
ข้อกฎหมายที่ต้องรู้ เมื่อคุณอยากระบายอารมณ์ เอาความสะใจเป็นที่ตั้ง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (เงินประกัน 10,000-20,000 บาท) อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรา 326 นี้ตามตัวบทกฎหมาย จะมี 3 ตัวละครที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย
1. ผู้ใด คือ ผู้กระทำ หมายถึง บุคคลซึ่งเป็นคนส่งข้อมูลไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งจะเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลก็ได้
2. ผู้อื่น คือ ผู้เสียหาย หมายถึง ผู้ถูกกล่าวถึงในการส่งข้อมูล หรือถูกใส่ความจากผู้กระทำ โดยในการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทครั้งหนึ่งนั้น อาจจะมีคนเดียวหรือหลายคนก็ได้
3. บุคคลที่สาม หมายถึง บุคคลที่ได้เป็นผู้ได้รับข้อมูลที่เป็นการใส่ความจากผู้กระทำ ซึ่งบุคคลที่สามนี้ จะต้องไม่ใช่ผู้เสียหายหรือผู้กระทำเสียเอง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 327 ผู้ใดใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่สาม และการใส่ความนั้นน่าจะเป็นเหตุให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษดังบัญญัติไว้ในมาตรา 326 นั้น ซึ่งสำหรับมาตรา 327 ความผิดฐานหมิ่นประมาทนี้จะต้องเกิดขึ้นหลังจากผู้ถูกใส่ความถึงแก่ความตายไปแล้ว ซึ่งปกติแล้ว คนที่ตายย่อมไม่มีการเสียชื่อเสียง เพราะว่าสิ้นสภาพบุคคลไปแล้ว ดังนั้น ผู้ตายจึงไม่มีสภาพบุคคลและไม่ถือว่าเป็นผู้เสียหาย (แต่เป็นญาติพี่น้องที่ได้รับผลกระทบ)
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 น่าจะเป็นกฎหมายหมิ่นประมาทที่บรรดาชาวเน็ตสุ่มเสี่ยงมากที่สุด ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษรกระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (เงินประกัน 100,000 บาท)
และขณะเดียวกัน การหมิ่นประมาทก็เป็น ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ดังต่อไปนี้ด้วย
มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 14 (5) ผู้ใดเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตาม (1) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เพราะฉะนั้น ก่อนจะด่าใคร ศึกษากฎหมายกันดี ๆ แบบไหนหมิ่นประมาทแบบไหนไม่หมิ่นประมาท แบบไหนผิดแบบไหนไม่ผิด หรือถ้าโดนฟ้องแล้วจะมีประเด็นข้อต่อสู้อย่างไรกับกรณีของตนเอง เพื่อให้ศาลยกฟ้อง ถ้าไม่พร้อมจะเสียเวลาศึกษาและต่อสู้อะไรแบบนี้ ด่าให้จบในใจดีที่สุด!
หมิ่นประมาทยอมความได้ แต่ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา
แม้ว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 328 จะเป็นความผิดที่สามารถยอมความได้ และมีอายุความเพียง 1 ปี โดยที่หากผู้เสียหายไม่ได้เข้าไปร้องทุกข์แจ้งความภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำ ความผิดจะเป็นอันขาดอายุความในแง่การดำเนินคดีอาญา ส่วนในทางแพ่ง ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายได้ภายใน 1 ปี นับจากวันที่ทราบถึงการหมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม การหมิ่นประมาทที่เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ซึ่งมีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่มีการกระทำความผิดหรือจากวันที่ความผิดนั้นปรากฏต่อเจ้าหน้าที่รัฐ
แต่…กระบวนการในการยอมความนั้นไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เพราะนอกจากจะต้องมีการเจรจากันเรื่องเงื่อนไขและทำข้อตกลงกันแล้ว สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือการที่ต้องไปเจอหน้าคู่กรณีบ่อย ๆ นี่แหละ ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ ก็เคยมีเรื่องมีราวถึงขั้นโพสต์ด่ากันมาก่อน มันคงเป็นความรู้สึกที่ยากน่าดูเมื่อต้องมาเจอหน้ากันบ่อย ๆ และเมื่อทำข้อตกลงยอมความกันแล้ว คุณก็จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เช่น การโพสต์ขอโทษในที่สาธารณะ การจ่ายค่าทำขวัญ รวมถึงการให้คำมั่นเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะไม่ทำผิดซ้ำ ที่แม้ว่ามันจะทั้งขัดใจและฝืนใจตัวเองแค่ไหนคุณก็จำต้องแลกเพื่อไม่ให้เรื่องไปถึงศาล แล้วถ้าแพ้ขึ้นมา คุณก็จะเจอโทษที่ร้ายแรงกว่า นี่คือสิ่งที่คุณต้องยอมรับให้ได้เมื่อคิดจะด่าใครให้โลกรู้
ขณะที่พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จากเดิมที่เคยไม่สามารถยอมความกันได้ และมีอัตราโทษจำคุกถึง 5 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาทนั้น ได้มีฉบับแก้ไขตามออกมา โดยระบุว่าถ้าการกระทําความผิดตาม มาตรา 14 (1) มิได้กระทําต่อประชาชน แต่เป็นการกระทําต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้กระทํา ผู้เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้เป็นความผิดอันยอมความได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้เสียหายด้วยว่าจะเอาผิดหรือไม่





























