หรือว่า “ยามาฮ่า” จะฟื้นคืนชีพ

ภาพจาก FB: Monster Energy Yamaha MotoGP

เปิดตัวพร้อมกัน 4 คันรวด สำหรับรถแข่งจากค่ายยามาฮ่า ในศึกโมโตจีพี 2025 ที่สำคัญหากดูจากเวลาในรอบ “เชคดาวน์ เทสต์” มาจนถึง “ออฟฟิเชียล เทสต์” ล่าสุดในวันแรกที่สนามเซปัง มาเลเซีย เวลาต่อรอบที่ทำได้จาก ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร ขึ้นมาอยู่หัวแถวซะด้วย หรือว่าปีนี้จะเป็นปีที่ค่ายส้อมเสียงจะฟื้นคืนชีพ?

ผมกำลังขอร่วมเกาะกระแสโมโตจีพีฟีเวอร์ เพราะปีนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ นอกจากจะมีนักบิดไทยลงแข่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์แล้ว การที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นสนามเปิดฤดูกาล ก็ยิ่งทำให้กระแสสองล้อทางเรียบรุ่นพรีเมียร์คลาสยิ่งคึกคักมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนับจากวันนี้ก็เหลือเวลาอีก 3 วีคเท่านั้น ที่โมโตจีพี 2025 จะเปิดฉากที่บุรีรัมย์

ที่ผ่านมา ในช่วงพรี-ซีซัน ไม่ว่าจะเป็นเอฟวันหรือโมโตจีพี ผมมักจะติดตามการทดสอบรถอย่างเป็นทางการ หรือ  ออฟฟิเชียล เทสต์ เป็นประจำครับ เพราะแม้จะไม่ใช่การแข่งขันจริง แต่เวลาต่อรอบที่รถแต่ละคัน นักบิดแต่ละทีมทำได้ มันก็สามารถที่จะบ่งบอกแนวโน้มของผลงานในฤดูกาลนั้น ๆ ได้ไม่มากก็น้อยครับ

ที่จั่วหัวไปว่า ยามาฮ่า จะฟื้นคืนชีพได้หรือไม่ ก็คงต้องบอกว่าหากใครติดตามโมโตจีพีใน 2-3 ปีหลัง ทีมแข่งจากญี่ปุ่น ทั้งฮอนด้าและยามาฮ่า ผลงานตกต่ำสุด ๆ ครับ จนกลายไปเป็นทีมแข่งเกรด D ตามการจัดอันดับของดอร์น่า (มีตั้งแต่ A ถึง D) ฉะนั้น หากในปีนี้ยามาฮ่ายกระดับขึ้นมาอยู่ในกลุ่มท็อป 5 หรือลุ้นโพเดียมได้ จะใช้คำว่า “ฟื้นคืนชีพ” ก็คงไม่ผิดนัก

จากผลการทดสอบรถช่วงปลายปีที่แล้วที่บาร์เซโลน่า มาจนถึง “เชคดาวน์ เทสต์” และออฟฟิเชียล เทสต์ วันแรก  มันมีสัญญาณชีพที่บอกว่าค่ายสีน้ำเงินอาจจะกลับมาผงาดก็เป็นได้ นับจากที่ “เอลดิอาโบล” คว้าแชมป์โลกได้ในปี 2021 โดยเฉพาะการที่ปีนี้พวกเขาทุ่มงบดึงทีมพรามัค เข้ามาเป็นทีมโรงงานทีมที่ 2

ยามาฮ่าย้ำนะครับว่า พรามัคไม่ใช่ทีมอิสระที่ใช้รถยามาฮ่า M1 อย่างเดียว แต่นี่คือทีมแข่งที่ได้รับการซัปพอร์ตทั้งหมดจากยามาฮา แฟคตอรี ที่สำคัญนักแข่งในทีมก็คือนักแข่งสังกัดทีมโรงงานทั้งหมด เริ่มจาก 2 คน จากทีมใหญ่ ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร และอเล็กซ์ รินส์ ในสังกัดมอนสเตอร์ อีเนอร์จี้ ยามาฮ่า โมโตจีพีทีม รวมถึง มิเกล โอลิเวียร่า และแจ็ค มิลเลอร์ ภายใต้สังกัดพรีม่า พรามัค ยามาฮ่า โมโตจีพี

ที่ผ่านมา การที่ยามาฮ่า มีรถแข่งในกริดสตาร์ตแค่ 2 คัน ทำให้พวกเขาเหมือนถูกโดดเดี่ยวเกินไป และก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลงานย่ำแย่อย่างที่เห็นครับ ฉะนั้น การที่ได้ทีมงานพรามัค ที่เพิ่งจะทำทีมร่วมกับดูคาติ คว้าแชมป์โลกมาหมาด ๆ ในปี 2024 มันก็ต้องทำให้เชื่อว่าพวกเขามีดี ไม่ใช่แค่เฉพาะรถแข่ง แต่ทีมงานหลังบ้านก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย

นอกจากนี้ ยามาฮ่า ยังขยายความร่วมมือกับ พรามัค เรซซิ่ง ด้วยการเปิดตัวทีมแข่ง บลู ครู พรามัค ยามาฮ่า โมโตทู เพื่อปูทางนักบิดดาวรุ่งป้อนสู่ โมโตจีพี ในอนาคต นำโดย โทนี อาร์โบลิโน นักบิดอิตาเลียนหมายเลข 14 และทีมเมทชาวสแปนิชอย่าง อิซาน เกวาร่า หมายเลข 28 ภายใต้การคุมทีมของ อเล็กซ์ ดิ อังเจลิส อดีตนักบิดเวิลด์กรังด์ปรีซ์ ขณะเดียวกันยังยืนยันใช้เฟรมบอสกอสคูโร ซึ่งคว้าแชมป์โลกโมโตทู ในปีที่ผ่านมาด้วย

นั่นหมายความว่าพวกเขาทนไม่ได้กับความตกต่ำอีกต่อไป และต้องการจะกลับมายึดหัวแถวอีกครั้ง ซึ่งหากไล่เรียงนักบิดทั้ง 22 คน ชื่อของกวาร์ตาราโร คือนักแข่งระดับเดียวกันกับเป็กโก้ บัญญาญ่า และมาร์ก มาร์เกซ ฉะนั้น หากได้รถ M1 ที่กลับมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นอีกครั้ง บางทีโมโตจีพี 2025 อาจเป็นจุดยูเทิร์นสำคัญของทีมแข่งจากอิวาตะก็เป็นได้ครับ