ถ้าหากว่าชีวิตปกติของคนเราในวันหนึ่ง ๆ จะมีได้หนึ่งพันเหตุการณ์จริง ๆ ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาของชะนีนางนี้เหตุการณ์ที่ว่าก็น่าจะปาเข้าไปเป็นแสน ๆ เรื่องราวได้แล้วมั้ง ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง งานมิตรภาพ และความบันเทิงส่วนตัว เทียวไปเทียวมาจนร่างแหลก จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นตัว ซื้อหนังสือใหม่มาอ่านก็หลับคาหนังสือ เปิดซีรีส์ดูมือถือก็ตกใส่หน้า ตามอ่านเรื่องดราม่าระดับประเทศยังสัปหงกได้เลย ขนาดอ่านหนังสือการ์ตูนที่ชอบก็ยังมิวายหัวทิ่ม รู้สึกตัวอีกที หน้าก็เปื้อนหมึกดำ ๆ ของหนังสือซะแล้ว
เพราะฉะนั้น บอกได้เลยว่าซีรีส์เกาหลีที่มาใหม่ประมาณ 3-4 เรื่องในสัปดาห์เดียว เล่นเอาดิฉันท้อแท้เลย เลือกไม่ถูกว่าจะจิ้มเรื่องไหนขึ้นมาก่อนดี จัดคิวก็ยาก เพราะบรรดาเพจรีวิวซีรีส์ทั้งหลายป้ายยากันเก่งโพด เรื่องนั้นดีเรื่องนี้สนุก เรื่องนี้ห้ามพลาด ลังเลแล้วลังเลอีกว่าดูเรื่องไหนก่อนดีหว่า วินาทีสุดท้าย ก็เลยเลือกจิ้มเอาเรื่องที่ถูกจริตที่สุด หมายถึงว่าเป็นแนวที่ชอบที่สุดขึ้นมาก่อน แม้ว่าจะมีคำเตือนต่อท้ายคำที่อวยว่าสนุกจริง ๆ ทว่าดำเนินเรื่องเนิบนาบไปหน่อยก็ตาม ซึ่งปกติไม่ชอบซีรีส์แนว Slow Burn เท่าไรนัก ยิ่งถ้าเป็นดราม่า เมโลดราม่า หรือโรแมนติก แล้วเดินเรื่องอืด ๆ นี่ไม่เอาเลย แต่ถ้าเป็นลึกลับ ระทึกขวัญ อาชญากรรม สืบสวนสอบสวน Slow Burn อาจจะถูกโรคกันก็ได้
Doubt มีชื่อไทยจาก Netflix แบบสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่เร้าอารมณ์ กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น และชวนให้ติดตาม ว่า “เคลือบแคลง” เป็นเรื่องราวสงครามประสาทของ 2 พ่อลูกที่มีความสัมพันธ์ต่อกันไม่ค่อยดีนักจากเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมานานมาก ๆ แล้ว แต่มันกลายเป็นบาดแผลฝังใจคนทั้งคู่ ความห่างเหินก่อตัวขึ้นจากเหตุการณ์นั้น ส่งผลให้ “พ่อ” รู้สึกว่าไม่ไว้วางใจลูกสาว ส่วน “ลูกสาว” ก็ชิงชังพ่อ เพราะพ่อทำให้วัยเด็กของเธอมีแต่ความทรงจำที่เจ็บปวด ตั้งแต่นั้นมา 2 คนพ่อลูกจึงเข้าหน้ากันไม่ติดอีกเลย เมื่อก่อนยังดีหน่อยที่มี “แม่” คอยเป็นคนกลาง แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงดูเหมือนว่าจะร้าวฉานยิ่งกว่าเดิม
แต่นอกเหนือจากแผลใจที่ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน คือธรรมชาติของทั้งคู่ พ่อเป็นคนเย็นชา ปากหนัก เฉียบคม และช่างสังเกต เขาทำงานเป็นโปรไฟล์เลอร์ (นักวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากร) ที่มีชื่อเสียงมาก ๆ คนหนึ่ง เพราะผ่านคดีอาชญากรรมร้ายแรงของเกาหลีใต้มามากมายนับไม่ถ้วน ตำแหน่งปัจจุบัน เป็นหัวหน้าหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรในสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ตัวเขาเพิ่งได้รับคำสั่งให้กลับไปรับตำแหน่งที่สำนักงานใหญ่ จึงต้องรับสมัครทีมงานน้องใหม่เข้ามาทำงานต่อจากเขาหากเขาย้ายไปแล้ว ด้วยนิสัยส่วนตัว ทำให้เพื่อนร่วมงานไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไรนัก ตัวเขาเองก็เก่งเรื่องที่ทำให้คนอื่นไม่พอใจ ตำรวจบางคนถึงกับเรียกเขาว่า “คนเฮงซวย”
ส่วนลูกสาว เป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลายวัยต่อต้านที่มีบุคลิกฉลาด มีความเย็นชาอยู่ในตัวไม่แพ้กับคนเป็นพ่อ แต่สิ่งที่ทำให้เธอดูแตกต่างจากเด็กวัยเดียวกัน คือความลึกลับ เธอเป็นเด็กสาวที่ดูมีลับลมคมในตลอดเวลา ไม่ค่อยจะแสดงความรู้สึก “ที่แท้จริง” ออกมาให้ใครเห็น และยังชอบทิ้งอะไรที่เป็นปริศนาเพื่อท้าทายพ่อด้วย เช่น พฤติกรรมแบบที่รู้แน่ ๆ ว่าอีกไม่นานพ่อจะจับได้ แต่ก็จงใจทำตัวให้น่าสงสัย แบบว่าพยายามจะเอาชนะพ่อ แต่พฤติกรรมที่เธอทำกับคนอื่น ๆ นอกบ้าน คนดูอย่างเรายังดูออกว่าเธอเล่นละคร เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่คนเป็นพ่อจะเชื่อคำพูด หรือเชื่อใจลูกสาวอย่างเธอไม่ลง รวมถึงไม่รู้ด้วยว่าจริง ๆ แล้วเธอเป็นคนแบบไหน
แต่แล้วจุดพลิกผันในความสัมพันธ์ 2 พ่อลูกก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีการพบโครงกระดูกเด็กวัยรุ่นหญิงที่อายุไม่น่าเกิน 20 ปี และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็เกิดคดีฆาตกรรมไร้ศพ ในฐานะที่เป็นโปรไฟล์เลอร์ชื่อดังที่ได้รับทั้งความเคารพและไว้วางใจจากกรมตำรวจมาโดยตลอด คนเป็นพ่อก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติ ทว่ายิ่งตามกลิ่นของ 2 คดีนี้เท่าไร เขาก็ยิ่งพบว่าลูกสาวของเขาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้ง 2 คดีนี้อย่างแน่นอน เพราะหลักฐานทั้งหมดมันนำไปสู่การตั้งสมมติฐานแบบนั้น ทั้งที่เขาเพิ่งตัดสินใจว่าจะเชื่อในสิ่งที่ลูกพูดแล้วแท้ ๆ เขาเองก็อยากกลับไปเป็นพ่อที่ดี ไม่ทำร้ายจิตใจลูกสาวอีกต่อไป
เรียกได้ว่าในเวลานี้ เขากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต ทั้งชีวิตการงานและชีวิตครอบครัวที่สั่นคลอนไปหมด แต่เขาก็ต้องงัดความรู้ความสามารถทั้งหมดที่มีมาสืบสวนคดีนี้ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลูกสาว และสืบหาความจริงของคดีนี้ให้สำเร็จ โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะนำพาเขาไปถึงจุดไหน เขาต้องเป็นคนพาลูกเดินเข้าคุก หรือเขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกปิดความผิดของลูกกันแน่ สิ่งนี้จะทำให้เขายอมหันหลังให้ระบบยุติธรรมที่เขาศรัทธามาตลอดหรือเปล่า
คุณอ่านใจคนร้ายได้เหมือนมีญาณทิพย์ แต่ไม่รู้ใจลูกเอาซะเลยนะ ยังไงก็ต้องเชื่อใจลูกสิ มันยากนักหรือไง
จริง ๆ แล้ว สารตั้งต้นทุกอย่างมันเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่ลูกยังเป็นเด็กนั่นแหละ ด้วยความที่พ่อเป็นนักวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรระดับตำนานของเกาหลีใต้ เรียกได้ว่าทั้งฉลาดและเฉียบคมสุด ๆ ด้วยความเก๋าเกม คร่ำหวอดในวงการมานาน สั่งสมประสบการณ์จากอาชญากรตัวเอ้มามากมายนับไม่ถ้วน จนเขาสามารถมองสถานที่เกิดเหตุได้อย่างทะลุปรุโปร่งเหมือนเข้ามายืนดูอยู่ในเหตุการณ์ แถมยังอ่านพฤติกรรมคนได้ อ่านใจคนออกอย่างกับเข้าไปนั่งอยู่ในใจคนคนนั้น สามารถเก็บทุกความสงสัยมาเป็นเบาะแสจนนำไปสู่การคลี่คลายคดีได้เสมอ เขาจึงไม่สามารถมองข้ามสิ่งเล็กสิ่งน้อยได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักฐานต่าง ๆ ที่รวบรวมมาได้ในเหตุการณ์วันนั้น มันชี้ชัดไปที่คนคนเดียว
ต่อให้เมื่อหลายปีก่อน “ลูกสาวคนโต” ของเขาจะยังเด็กมาก ๆ แต่เมื่อประมวลผลจากหลักฐานทั้งหมดที่มี มันทำให้เขาอดที่จะสงสัยในตัว “ลูกสาวคนโต” ไม่ได้ ว่าเธอนี่แหละที่ทำให้ “เด็กคนนั้นตาย” แม้ว่าแรก ๆ เขาจะเชื่อไม่ลง แต่ในเมื่อความสงสัยไม่เคยถูกคลี่คลายให้กระจ่าง เขายังคงต้องมองหน้าลูกสาวที่เขายังสงสัย และเด็กน้อยที่ยังนิ่งเงียบไม่ยอมสารภาพอะไร เขาพยายามคิดแล้วคิดอีกเชื่อมโยงกับหลักฐาน แต่มันก็ไม่มีคำตอบอื่นนอกเหนือไปจากสิ่งที่เขาเองก็ไม่ได้อยากเชื่อ ดังนั้น จากที่เชื่อไม่ลงว่าเป็นฝีมือลูกสาวตัวเอง ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนมาเป็นเชื่อใจลูกสาวตัวเองไม่ลง ไม่รู้ว่าจะเชื่อสิ่งที่เด็กคนนี้พูด เชื่อสิ่งที่เด็กคนนี้ทำได้มากน้อยแค่ไหน
ยิ่งเด็กน้อยยืนกรานกับแม่ว่าเธอ “ไม่ได้ฆ่าใคร” ทำให้ความบาดหมางไม่ได้เกิดขึ้นแค่ระหว่างพ่อกับลูก แต่ลามไปที่สามีกับภรรยาด้วย แม่ที่ยืนยันว่าจะเชื่อในสิ่งที่ลูกพูด ไม่พอใจอย่างมากที่พ่อปรักปรำลูกสาวตัวน้อยว่าเป็นฆาตกร เธอโกรธที่สามีไม่ยอมเชื่อแม้แต่คำพูดของลูก และหาว่าเขาคลุกคลีอยู่กับอาชญากรจนกลายเป็นบ้าไปแล้วที่มองใครต่อใครเป็นอาชญากรไปหมด ความหวาดระแวงของคนเป็นพ่อทำให้ทั้งแม่และลูกต้องทนทุกข์ทรมาน จนคนเป็นแม่ไม่สามารถจะรับไว้อีกต่อไปแล้ว ถึงหนีปัญหาไปแบบนั้น เพราะทนไม่ไหวที่พ่อมองว่าลูกเป็นฆาตกร
การอยู่กับพ่อมันทรมานมาก…แค่ครั้งเดียวก็ยังดี ช่วยเชื่อที่หนูพูดหน่อยได้ไหม
เมื่อพ่อไม่เชื่อใจลูก และมีสายตาหวาดระแวงให้เธอเสมอ ทำให้ลูกสาวมีปมฝังใจที่มองว่าเพราะความหวาดระแวงบ้า ๆ ความไม่เชื่อใจ ไม่เชื่อคำพูดของเธอ และการโยนความผิดของเหตุการณ์นั้นมาที่เธอนั่นแหละ ที่บั่นทอนความรัก ความศรัทธา และสายสัมพันธ์ในครอบครัวให้สะบั้นลง ร้ายแรงจนถึงขั้นที่ทำให้เธอต้องสูญเสียแม่ไปอีกคน การที่เธอต้องอดทนอยู่กับพ่อที่ไม่เคยเชื่อคำพูดเธอเลยสักครั้ง มันทำให้เธอทรมาน กลายเป็นเด็กที่นิ่งเงียบ เฉยชา เก็บความรู้สึกจนยากจะคาดเดา และต่อต้านคนเป็นพ่อมาตั้งแต่เด็กยันโต
เมื่อเขากลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว เขาจึงพยายามจะปรับปรุงตัวเองให้เป็นพ่อที่ดี แต่ในเมื่อใจมันก็ยังเชื่อลูกสาวไม่ลง ทุกอย่างที่เขาทำเลยดูฝืนธรรมชาติตัวเองไปหมด ดูออกว่าพยายาม ซึ่งเรื่องนี้ลูกสาวก็คงดูออกเหมือนกัน ทำให้เธอยิ่งชิงชังพ่อมากกว่าเดิม และปิดใจใส่คนเป็นพ่อไปเลย ทำให้เวลานี้เขารับมือกับลูกสาวได้ยากมาก เขาอ่านใจคนร้ายออก แต่อ่านใจลูกสาวตัวเองไม่ได้ เธอจงใจทำตัวให้อ่านยาก มีความลับ ทำตัวต่อต้าน และที่สำคัญ พฤติกรรมที่เธอทำมันยังมีสายตาของความท้าทาย ประมาณว่าถ้าพ่อเก่งเรื่องตามจับคนร้ายจากการวิเคราะห์พฤติกรรมนักล่ะก็ ลองวิเคราะห์ปริศนาต่าง ๆ ที่เธอก่อไว้หน่อยเป็นไร ดูซิ! ว่าพ่อจะอ่านเกมหนูออกไหม
ส่วนตัว ติดใจกับคำพูดที่เธอบอกกับพ่อว่า “แค่ครั้งเดียวก็ยังดี ช่วยเชื่อที่หนูพูดหน่อยได้ไหม” มาก ๆ มันเหมือนเป็นการทิ้งคำใบ้ไว้ว่าที่ผ่านมาเธอพูดความจริงมาตลอดแต่พ่อก็ไม่เชื่อใจเธอเลย ถึงเธอจะพยายามสร้างความสับสนและทิ้งปริศนาอะไรไว้มากมายเพื่อให้พ่อเข้าใจผิด มันก็เป็นเพียงสงครามจิตวิทยาที่เธอท้าทายพ่อเท่านั้น ทว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง ในเมื่อพ่อไม่เคยเชื่อความจริงที่เธอพูดเลย ฉะนั้น ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เธอจะพูดความจริง เธอจึงขอร้องพ่อว่าให้ช่วยเชื่อในสิ่งที่เธอพูดสักครั้งเถอะ เชื่อแค่สักครั้งก็ยังดี แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว
การดูซีรีส์ปั่นประสาทคนดูแบบ Doubt นี้ ทำให้นึกถึงสมัยที่ตัวเองเป็นนักศึกษา เคยถูกบังคับ (เพราะเป็นวิชาบังคับ) ให้เรียนวิชาปรัญชาอะไรสักอย่าง (จำชื่อวิชาไม่ได้) อยู่ 1 เทอม และเคยได้ลงเรียนวิชาการพัฒนาบุคลิกภาพ ที่ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นวิชาที่สอนให้มีบุคลิกภาพที่ดีในสังคม (ก็เลยเลือกลงเรียนเผื่อไว้เตรียมสมัครงาน) แต่แท้จริงแล้วเรียนเกี่ยวกับจิตวิทยาเบื้องต้นอันเป็นฐานรากล่างสุดในการเข้าใจพฤติกรรมคน แม้ว่าจะได้เรียนแบบผิวเผินแค่พอรู้ทฤษฎีต่าง ๆ ทั้ง 2 วิชา แต่พอโตมาก็ได้ศึกษาเรื่องพวกนี้เยอะขึ้น โดยเฉพาะพวกหลักจิตวิทยาและพฤติกรรมคน มีคำพูดหนึ่งที่จำได้ลาง ๆ เพราะต้องทำรายงานส่ง มีใครสักคนนี่แหละที่กล่าวเอาไว้ประมาณว่า
“ศัตรูของความจริง ไม่ใช่การโกหกโป้ปด แต่เป็นความเชื่อ” ถ้าในกรณีของ 2 พ่อลูกนี้ ก็คือพ่อที่ปักใจ “เชื่อ” ว่าลูกเป็นคนผิดมาตั้งแต่เด็ก จน “ไม่เชื่อ” สิ่งที่ลูกพูดอีกเลย โดยที่ไม่ได้หาคำตอบจริง ๆ จัง ๆ ว่าสิ่งที่พูด ลูกโกหกหรือลูกพูดความจริง
เด็ก ๆ ที่หนีออกจากบ้าน ยังไงก็ต้องยุ่งเกี่ยวกับอาชญากรรมครับ ไม่ว่าจะกลายเป็นเหยื่อในสภาพแวดล้อมแย่ ๆ หรือไม่ก็เป็นผู้ร้ายเพื่อเอาตัวรอด
ถึงแม้ว่าแก่นของซีรีส์เรื่อง Doubt จะเป็นเรื่องราวของพ่อลูกคู่นี้เป็นหลัก แต่อะไรหลาย ๆ อย่างมันเชื่อมโยงไปหาตัวละครอื่น ๆ จนยุ่งเหยิงไปหมด ยิ่งในอีพีที่ 3 มีการเปิดเผยโฉมหน้าของตัวละครลับอีกตัวที่กลายเป็นปมใหญ่สืบเนื่องไปยังอีพีที่ 4 และเรื่องราวมากมายมันถูกนำมาทับซ้อนกันกับความเป็นเด็กมีปัญหาของลูกสาวด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือเด็กมีปัญหา ทั้งแบบที่มีปัญหากับพ่อแม่และเป็นตัวสร้างปัญหา ส่วนใหญ่จะลงเอยด้วยการกลายเป็น “เด็กหนีออกจากบ้าน” แทบทั้งนั้น
แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ในอีพีแรก ๆ ที่คนดูอย่างเรารับรู้ก็คือ แม้ว่าลูกสาวบ้านนี้จะชิงชังพ่อมากแค่ไหนก็ตาม สร้างปริศนาท้าทายพ่ออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่กลับยังเลือกที่จะอยู่บ้าน ไม่ได้เป็นเด็กหนีออกจากบ้านแบบเด็กบ้านอื่น ขนาดอีพีแรกที่นางไปมีเรื่องกับแก๊งเด็กหนีออกจากบ้านขโมยมือถือ แล้วโดนเด็กพวกนั้นใส่ร้ายว่านางบอกว่าจะหนีออกจากบ้าน เราก็ยังเชื่อว่านางไม่ได้พูดหรอก คนพวกนั้นน่าจะหาเรื่องให้นางกลายเป็นคนไม่ดีมากกว่า ทว่าไป ๆ มา ๆ ตัวซีรีส์จะค่อย ๆ เฉลยและทำให้เราเห็นเองว่าจริง ๆ แล้วนางน่าจะรู้จักกับเด็กแก๊งนี้เป็นอย่างดีมากกว่า
ยิ่งยืนยันได้เลยว่าสิ่งที่พ่อของนางทำอย่างการหวาดระแวงลูกและไม่เชื่อใจลูกน่ะ มันไม่ได้เวอร์วังเกินจริงสำหรับความรู้สึกของคนเป็นพ่อเลย ถ้าไม่มีแผลมาก่อน คนเราจะไม่หวาดระแวงมากขนาดนั้นอยู่แล้ว ขนาดสิ่งที่นางพูดเมื่อเอาไปเทียบกับสิ่งที่เด็กแก๊งหนีออกจากบ้านพูด เรายังเลือกที่จะเชื่อคำพูดของนางมากกว่าเด็กแก๊งนั้นเลย เพราะความเป็นเด็กหนีออกจากบ้าน มีคดีนั้นคดีนี้ติดตัวยาวเป็นหางว่าว แถมมีภาพลักษณ์เป็นตัวปัญหาของสังคมอีก มันฟังดูน่าเชื่อถือน้อยกว่าเด็กที่แค่ดูเหมือนจะมีปัญหา แต่ก็ยังอยู่บ้านกับพ่ออยู่ดี
นั่นแหละ เพราะภาพลักษณ์ของเด็กแก๊งหนีออกจากบ้าน มันดูว่ายังไงก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะเป็นเหยื่อเพราะเข้าไปอยู่ในสภาพสังคมแย่ ๆ หรืออาจกลายเป็นผู้ร้ายเพราะต้องเอาตัวรอดก็ได้ ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าจิตสำนึกในตัวของคนคนนั้น ว่าจะหยุดอยู่แค่การก่ออาชญากรรมร้าย ๆ ครั้งเดียวด้วยจำเป็นต้องเอาตัวรอด หรือจะกลายเป็นผู้ล่าเต็มตัว เพราะสนุกกับการล่ามากกว่า และที่สำคัญ ต่อให้ยังประคองตัวเป็นคนดี แต่ภาพลักษณ์ของแก๊งเด็กหนีออกจากบ้านมันก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้วในสังคม ปลาเน่าตัวเดียวในหนอง มันก็พากันเน่าทั้งหมด ใบคาที่ห่อหุ้มปลาร้า มันก็ติดกลิ่นปลาร้าเหม็นเหมือนกัน ถึงจะเป็นคนดี แต่ถ้าอยู่ในสังคมไม่ดี คนก็ไม่ได้มองว่าเป็นคนดี
ดังนั้น คดีฆาตกรรมปริศนาที่เกิดขึ้นนี้ จึงเป็นเหมือนหมัดฮุกที่ชกซ้ำเข้าไปตรงรอยแผลเดิมของคู่พ่อลูก ย้ำปมในอดีตที่ยังรักษาไม่หายดี ก็เกิดเรื่องใหม่มาทำลายชีวิตครอบครัวของทั้งคู่อีก เป็นความบังเอิญ ความตั้งใจ หรือความผิดพลาดยังไม่อาจรู้ได้ และเดาไม่ได้ด้วยว่าจะจบสวยหรือเปล่า เพราะมันเล่นกับความรู้สึกมาก ๆ ว่าถ้าคนที่ใกล้ชิด คนที่เรารักอย่างคนในครอบครัว ซึ่งควรจะเป็นคนที่เชื่อใจได้และเชื่อใจเรามากที่สุด วันหนึ่งกลับหันหลังให้ มันจะเป็นการทำลายคนในครอบครัวกันเอง นั่นแหละ สุดท้ายแล้วพ่อจะพิสูจน์ความจริงจนลูกสาวพ้นผิด หรือยิ่งขุดยิ่งเจอสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แล้วลากลูกไปรับโทษในสิ่งที่ทำ หรือจะปกปิดความผิดให้ลูก เพราะอยากเชื่อใจเพื่อชดเชยคืนให้
คิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่เลือกซีรีส์เรื่อง Doubt ขึ้นมาดูก่อนเพื่อนในลอตที่มาใหม่ 3-4 เรื่อง แม้ว่าจะเดินเรื่องเนิบนาบ แต่มันก็เป็นไปตามจังหวะของมันที่ทำให้ชวนติดตามมากกว่า ค่อย ๆ ทิ้งเบาะแส ทยอยหย่อนเงื่อนงำ แล้วก็เฉลยเบื้องหลังต่าง ๆ ออกมาทีละนิด ๆ เลยให้ฟีลลุ้นระทึกแบบชวนสงสัย กลิ่นอายเหมือนหนังฝรั่งเลย คู่พ่อลูกก็ส่งพลังในสงครามประสาทที่ทำเอาคนดูแทบจะประสาทตาม น้อง “แชวอนบิน” ที่เล่นเป็นลูกสาวนี่งานสายตาคะแนนเต็ม ดูทั้งจิตทั้งหลอน ส่วนนักแสดง “ฮันซอกคยู” นี่หายห่วง คนนี้รุ่นใหญ่ชั้นครู สรุปคือถ้าใครชอบแนวนี้ต้องจัด อย่าพลาดเด็ดขาด