Wedding Impossible การแต่งงานครั้งนี้จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้!

ภาพจาก FB: tvN drama

ปล่อยออนแอร์มาอีกเรื่องแล้วจ้า ซีรีส์เกาหลีที่ยังคงวุ่นวายอยู่กับพล็อตแต่งงาน จำได้ดีว่าเพิ่งบ่นไปเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้วนี่เองว่าช่วงนี้มันเป็นเทรนด์หรือยังไง ซีรีส์ที่เกี่ยวกับการแต่งงานปล่อยออนแอร์ติด ๆ กันแบบนี้ ถามว่าดูไหมก็ดูแหละ แค่อยากบ่นเฉย ๆ ให้ดูเหมือนเป็นคนช่างสังเกต 555

Wedding Impossible เป็นซีรีส์แนวโรแมนติกคอมเมดี้ ที่สร้างมาจากนวนิยายออนไลน์ชื่อเดียวกัน เรื่องราวการแต่งงานกำมะลอของหนุ่มสาวเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานถึง 15 ปี ฝ่ายว่าที่เจ้าบ่าวเป็นหลานตาของตระกูลมหาเศรษฐี ผู้ซึ่งเป็นลูกนอกสมรสของลูกสาวท่านประธานบริษัท ส่วนว่าที่เจ้าสาว เป็นนักแสดงโนเนมที่ทำงานอยู่ในวงการมานาน แต่เป็นได้แค่ตัวประกอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งคู่ตกกระไดพลอยโจนต้องมาเล่นละครเป็นแฟนกันเพราะฝ่ายชายเป็นเกย์ เขาต้องการจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อีกทั้งเขาก็ไม่ต้องการจะเป็นทายาทหลักคนต่อไปของตระกูลด้วย และเพื่อของเขาก็ต้องการจะช่วยเขา จึงกระโจนเข้ามารับบทเป็นว่าที่ภรรยาในฉากของละครแต่งงานกำมะลอเรื่องนี้

แต่…ทุกอย่างกลับไม่ง่าย เพราะฝ่ายว่าที่เจ้าบ่าวมีน้องชายหัวดื้ออยู่คนหนึ่ง เขาต้องการจะผลักดันให้พี่ชายที่เขารักมากขึ้นเป็นทายาทคนต่อไปประจำตระกูล ที่ผ่านมาเขาซุ่มวางแผนการใหญ่อย่างเงียบ ๆ และเสียสละตัวเองทุกอย่างเพื่อให้แผนสำเร็จ การที่พี่ชายประกาศแต่งงานกับหญิงสาวที่เป็นเพื่อนกันอาจทำให้แผนการของเขาพัง เพราะจริง ๆ พี่ของเขาควรต้องแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนที่เป็นทายาทตระกูลเศรษฐีเหมือนกันเพื่อเสริมอำนาจการปกครองบริษัท แต่ในเมื่อพี่ชายของเขาจะแต่งงานกับคนอื่นให้ได้ เขาจึงเอาตัวเองเข้าไปคัดค้านและขัดขวางการแต่งงานครั้งนี้แบบเอาเป็นเอาตาย เรื่องราววุ่น ๆ ของว่าที่พี่สะใภ้กับว่าที่น้องเขยจะเป็นยังไงล่ะทีนี้!

ภาพจาก FB: tvN drama

บอกเลยว่าทีแรกที่เปิดดูซีรีส์เรื่องนี้ ตั้งใจมาดู “มุนซังมิน” เท่านั้นเลย หลงน้องมาตั้งแต่ Under The Queen’s Umbrella ในบทองค์ชายสุดเย็นชา แต่ประเด็นคือเปิดดูได้แค่ครึ่งชั่วโมงเองมั้ง ดันโดนนางเอกของเรื่อง “จอนจงซอ” ตกด้วยอีกคน เธอไม่ใช่คนสวยจัดแบบพิมพ์นิยมของเกาหลี แต่หน้าเธอเก๋มาก รวมกับความเล่นได้เป็นธรรมชาติ และบุคลิกดุ๊กดิ๊ก ๆ ยิ่งทำให้น่ามอง ชอบมากขึ้นที่เขาวางคาแรกเตอร์ของพระเอก-นางเอกให้เป็นคนเกรียน ๆ เหมือนกัน ความเกรียนแบบคูณ 2 ที่จะเห็นว่าทั้งคู่ทันเกมกัน ฉลาดคิดฉลาดพูดช่างยอกช่างย้อน แค่ 2 ตอนก็ดึงใจคนดูได้อยู่หมัด ทั้งที่พล็อตเรื่องแต่งงานกำมะลอเนี่ยมันเป็นอะไรที่เก่ามาก แต่บทถือว่าเอาอยู่

มันน่าเศร้านะ ที่อยู่ ๆ เรากับเพื่อนสนิทก็เหมือนอยู่กันคนละโลก ทั้ง ๆ ที่เคยอยู่บนโลกใบเดียวกัน

ภาพจาก FB: tvN drama

ไม่รู้มีใครรู้สึกเหมือนกันไหม ว่าบทสนทนาต่าง ๆ ที่ตัวละครในเรื่องนี้ใช้คุยกัน มันเป็นคำพูดที่ฮุกคนฟังได้เสมอเลย ออนแอร์มาแค่ 2 ตอน นี่ก็เก็บเอาคำพูดของตัวละครไปคิดต่อได้หลายคำแล้วเนี่ย มันเป็นคำพูดธรรมดา ๆ ที่เป็นประเด็นทั่วไปในชีวิตประจำวันของคนเรา เกิดขึ้นกับใครก็ได้ แต่ใกล้ตัวมากจนรู้สึกอิน จนทำให้รู้สึกเหมือนผู้คนมากมายน่าจะเคยมีประสบการณ์ร่วมแบบในบทสนทนา มีมุมมองที่ชวนคิดอ้างอิงกับชีวิตจริงของตัวเอง และที่สำคัญมันทำให้ดูซีรีส์เรื่องนี้ได้มีอรรถรสมากขึ้น ใครที่เป็นพวกดูละครลึก ๆ คิดตามเยอะ ๆ กับพวกบทสนทนาจากปากตัวละครมากกว่าแค่ดูเอาความบันเทิง ก็จะทำให้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละครมากขึ้นจากคำพูดที่ตัวละครใช้

คำพูดดังกล่าวไม่ได้ออกมาจากปากตัวละครหลักอย่างนางเอก-พระเอก แต่พูดโดยนักแสดงประกอบที่เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของนางเอก บทบาทในเรื่องก็คือเป็นแก๊งนักแสดงตัวประกอบด้วยกัน หลังจากนางเอกเล่าเรื่องเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่รู้จักกันมานาน 15 ปีให้ฟัง และเขากำลังจะกลับมาจากต่างประเทศ นางจึงยืมรถหรูของเพื่อนรุ่นพี่ และยืมกระเป๋าแบรนด์เนมของเพื่อนรุ่นน้องไปใช้เป็นอุปกรณ์ในการแสดงต่อหน้าเพื่อน เพราะนางไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าทุกวันนี้นางยังเป็นแค่ตัวประกอบในละคร ในขณะที่เพื่อนไปได้ดีมีผลงานจนได้ไปทำงานอยู่เมืองนอก นางรู้สึกว่ามันน่าอายเกินไป และมันก็น่าเศร้าด้วยที่เพื่อนที่เคยอยู่บนโลกใบเดียวกัน ทุกวันนี้เรากลับแตกต่างกันเหมือนอยู่คนละโลก

ภาพจาก FB: tvN drama

เพราะทุกคนมีเรื่องเกี่ยวกับตัวเองที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ แม้แต่เพื่อนสนิทกันก็ไม่อาจบอกได้ทุกเรื่อง เจตนาที่นางเล่นละครใส่เพื่อนไม่ใช่เจตนาไม่ดี นางแค่อยากให้เพื่อนที่เชื่อใจ หวังดี และให้กำลังใจนางมาตลอดว่านางจะประสบความสำเร็จ เห็นว่านางยังสบายดี มีความสุขดี ไม่อยากให้เพื่อนเศร้าและเป็นห่วงว่านางยังคงล้มเหลวอยู่เวลาที่นึกถึงนางเมื่อกลับเมืองนอกไปแล้ว และที่จริง ลึก ๆ นางก็นึกสมเพชตัวเองมาก ๆ ที่ต้องให้เพื่อนมารู้ว่าชีวิตของนางนั้นมันย่ำแย่แค่ไหน และอย่างที่บอกว่ามันน่าอาย คนที่เคยใช้ชีวิตเฮฮาอยู่ด้วยกัน เคยอยู่บนโลกเดียวกัน วันดีคืนดีเขาก็ได้ดี มีชีวิตที่ดีนำห่างจากเราไปแบบไม่เห็นฝุ่น รู้สึกยินดีนะ แต่พอหันกลับมามองตัวเองที่ยังย่ำอยู่กับที่ มันก็รู้สึกแย่ทันที

ข้อเท็จจริงก็คือ มนุษย์ทุกคนนึกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอยู่เสมอนั่นแหละ ถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแบบคนอื่นไปเลย มันจะไม่เจ็บปวดเท่ากับเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนสนิท เพื่อนสนิทที่เรารู้ว่าเขาเริ่มต้นอยู่ในจุดเดียวกันกับเรา เคยนั่งกินข้าวข้างทางมาด้วยกัน เคยเมาหัวราน้ำมาด้วยกัน แต่จู่ ๆ เพื่อนคนนี้ก็ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำ มันคือความสามารถของเขาแหละ เราเองก็รู้สึกยินดีด้วยและไม่ได้อิจฉาริษยาอะไร ความเป็นเพื่อนยังอยู่ ถึงอย่างนั้นก็สัมผัสได้ว่ามันมีช่องว่างที่ทำให้เราห่างและแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ชีวิตเขาดีเอา ๆ แต่เรายังอยู่กับที่ไม่ไปไหน จากที่ยินดีกับเขากลายเป็นยิ่งสมเพชตัวเองมากขึ้นทุกที และรู้ว่าเขาจะไม่ตัดสินเราทว่าเรากลับรู้สึกต่ำต้อยอยู่ในใจ

ภาพจาก FB: tvN drama

แต่…กับเรื่องนี้มันอาจแตกต่างออกไปนิดหน่อย เพราะนางเอกไม่เคยรู้มาก่อนว่าเพื่อนตัวเองเป็นหลานชายของมหาเศรษฐี นางคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดา ๆ แบบเดียวกับนาง หลังจากที่รู้เรื่อง นางถึงรู้สึกว่าเขากลายเป็นคนแปลกหน้าไปเลย พยายามจะเข้าใจเหตุผล แต่มันก็รู้สึกอยู่ดี

จากประสบการณ์ตรง การกินอะไรแบบรีบร้อนไม่เคยจบลงด้วยดี อาหาร ผู้ชาย รวมถึงเงินด้วย

นาอาจอง! ที่ฉันเป็นหล่อนหรือหล่อนเป็นฉันเนี่ย! ทำไมประสบการณ์ชีวิตของเรามันทับซ้อนกันแบบนี้ล่ะ 55555 หรือจริง ๆ มันอาจเป็นแค่สัจธรรมชีวิตที่ทุกคนสามารถพบเจอกับผลลัพธ์ด้านลบได้ เมื่อเราใช้ชีวิตกันอย่างรีบร้อนเกินไป แล้วคนเขียนบทเขาก็เข้าใจจับมันมาบิดเป็นคำพูดใส่ปากตัวละคร อย่างที่บอกข้างต้น ว่าชอบบทสนทนาที่ตัวละครในเรื่องนี้ใช้พูดคุยกันมาก ในมุมของความเป็นละครมันอาจจะดูออกแหละว่าประดิษฐ์ไปหน่อย แต่คนเขียนบทเขาเก่งนะที่ใช้การเปรียบเปรยให้เป็นอะไรที่อยู่ใกล้ตัว ซึ่งพอมันไปปรากฏเป็นคำพูดตัวละครนั้น ๆ มันยิ่งทำให้เราเข้าใจเหตุผลของการกระทำของตัวละครได้มากขึ้น ต่างคนต่างมีมุมของตัวเอง แล้วยังทำให้คนดูอย่างเราได้เก็บมาคิดตาม

ภาพจาก FB: tvN drama

เรื่องเพิ่งออนแอร์ได้แค่ 2 ตอน เราต่างก็ไม่รู้พอ ๆ กันว่าตัวละครนางเอกเคยเจออะไรมา ถึงทำให้นางมีประสบการณ์ชีวิตมากพอที่จะตั้งเป็นทฤษฎีชีวิตตัวเองว่าอย่าวู่วามบุ่มบ่ามทำอะไรรีบร้อน เพราะตอนจบมันมักจะจบไม่สวย ไอ้ที่นางรู้ว่าการทำอะไรแบบรีบร้อนไม่เคยจบลงด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกินอาหาร เรื่องความรัก หรือเรื่องการทำงานหาเงิน มันบ่งบอกว่านางเองก็มีประสบการณ์ชีวิตที่โชกเลือดมาพอสมควร (ที่พระเอกก็แซว) และอาจเป็นหนึ่งในประเด็นที่นางเคยเกริ่นกับพระเอกไว้ก็ได้ว่าทุกคนมีเรื่องเกี่ยวกับตัวเองที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ หลายครั้งที่มีเหตุการณ์ที่ “จบไม่ดี” นางเลยเลือกที่จะให้มันเป็นความลับของตัวเองตลอดไปก็ได้

ภาพจาก FB: tvN drama

ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไรที่นางจะเรียนรู้อดีตเพื่อกลับมาปกป้องตัวและหัวใจของตัวเอง ทำอะไรก็คิดให้เยอะขึ้น กลั่นกรองให้ช้าลง และไม่จำเป็นที่ต้องไปรีบร้อนเร่งเครื่องเพื่อให้ตามใครทันเลย การกดดันให้เรารีบร้อนตัดสินใจโดยไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน หลงกลเล่นตามเกมเร่ง ๆ ของคนอื่นว่าถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ มันทำให้เราเจ็บเอง และนำไปสู่การจบแบบไม่สวย ถ้าในที่สุดใครสักคนจะทิ้งเราไว้ข้างหลัง ไม่รอเรา ก็ถือว่ากรองคน กำจัดคนแย่ ๆ ที่ดีแต่ปากออกไปจากชีวิตเลยดีที่สุด แถมคำพูดของนางยังสร้างเรื่องชวนเอ๊ะให้คนดูได้ด้วย ว่าที่ผ่านมาเราเคยพังพินาศเพราะใช้ชีวิตแบบรีบร้อนด่วนตัดสินใจบ้างหรือเปล่า ถ้าเคย ต่อจากนี้ก็จงใช้ชีวิตให้ช้าลง ใช้สมองมากกว่าหัวใจก็ดี

ภาพจาก FB: tvN drama

อ้อ! และที่บอกว่าประสบการณ์ชีวิตของตัวเราเองไปทับซ้อนกับนางเองของเรื่องนี้ ก็แค่เคยมีบทเรียนมาเหมือนกันเฉย ๆ มันเลยทำให้เราเห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเรื่องที่ทำให้รู้สึกพังทลายขนาดนั้นหรอก เพียงแต่มันก็เป็นประสบการณ์หนึ่งที่เราเองก็เคยกลับมานอนเอามือก่ายหน้าผากคิดกับตัวเองเล่น ๆ เหมือนกัน ว่าที่ผ่านมา การทำอะไรแบบรีบร้อนไม่เคยจบลงด้วยดีเลย รีบร้อนกินเร็ว ๆ ก็กลับมาร้องโอดโอยปวดท้อง รีบตัดสินใจเรื่องความรักก็ทำให้เลือกคนผิด วู่วามกับเรื่องเงินทองก็อาจขาดทุนไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้เลยคิดได้มากขึ้นว่าควรจะปล่อยให้มันเป็นในแบบที่ควรจะเป็น ไม่ต้องไปรีบร้อนอะไรทั้งนั้น จะตัดสินใจอะไรต้องคิดถึงผลที่จะตามมา

ระยะห่างระหว่างคนเรามีอยู่สามก้าว ถ้าใกล้กว่านั้นจะเกิดการเข้าใจผิด การถอยหนึ่งก้าวจะทำให้คนเข้าใจกัน

ภาพจาก FB: tvN drama

อีกหนึ่งบทสนทนาคม ๆ ที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ดูน่าสนใจมากขึ้น ทั้งที่พล็อตเรื่องมันออกจะดาษดื่นมาก ว่ากันว่าคนเราไม่ควรที่จะสนิทใกล้ชิดกันมากจนเกินไป สนิทสนมแค่ไหนก็ยังต้องเว้นช่องว่างระหว่างกันไว้ และซีรีส์เรื่องนี้ก็มาเฉลยว่าระยะห่างนั้นคือสามก้าว (ซึ่งมันก็คงไม่ได้หมายถึงการก้าวขาสามก้าวจริง ๆ หรอก เปรียบเปรยมากกว่า) ช่องว่างที่มองด้วยตาไม่เห็นแต่ในใจต้องสัมผัสได้ว่ามี เพราะยิ่งสนิทกันมากเท่าไรมันก็ยิ่งทำร้ายจิตใจกันได้ง่ายขึ้น ทั้งความเกรงใจกันจะหายไป คิดว่ารู้จักกันดีพอที่ทำอะไรก็ได้ “เรื่องแค่นี้” เพื่อนไม่คิดมากหรอก ความคาดหวังจะสูง คิดว่าสนิทกันก็ต้องมองตาแล้วรู้ใจกันสิ หรือทำให้เรารู้สึกแย่ได้ง่ายกว่าคนไม่รู้จักกันเวลาที่มีเรื่องผิดใจ

อย่างที่นางเอกพูดแหละ การใกล้กันมาก ๆ ทำให้เกิดการเข้าใจผิด และอีกประเด็นที่นางเอกพูดออกมาตอนต่อว่าพระเอกก็คือ การก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน กรณีพระเอกนางเอกนี่พูดไม่ได้หรอกนะว่าสองคนนี้สนิทกัน พวกเขาเป็นเหมือนคู่เจรจาผลประโชน์ที่ยังหาจุดร่วมที่ลงตัวไม่ได้มากกว่า ซึ่งจริง ๆ นางเอกก็ยอมถอยแล้วจนทะเลาะกับเพื่อนตัวเอง แต่พระเอกดันแผนสูง ต้องการความแน่ใจเป็นพิเศษว่านางเอกจะไม่เปลี่ยนใจ ก็เลยล้ำเส้นเข้าไปก้าวก่ายกับเรื่องนางเอกโดยที่เขาไม่ได้ขอ นางเอกที่คิดว่าตัวเองได้โอกาสเพราะความสามารถของตัวเองก็เลยเที่ยวไปบอกข่าวดีกับเพื่อน ๆ และคนที่บ้าน แต่ความจริงที่รู้มาทำให้นางจุก นางเอกรักศักดิ์ศรีและมีคุณธรรมในใจมากซะด้วย

ภาพจาก FB: tvN drama

ขอยืนยันด้วยประสบการณ์ของตัวเองอีกเหมือนกันว่าคนเราสนิทกันได้ แต่ไม่ควรจะใกล้ชิดกันมากจนไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน ไม่ว่ายังไงคนเรามันก็มีความเป็นตัวเอง มีจุดเด่นจุดด้อย กับเพื่อนสนิท เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็ไม่ได้ชอบตัวตนของเพื่อนไปซะหมดทุกอย่าง อะไรที่เราไม่ชอบในตัวเขาเราก็แค่ไม่ไปยุ่งวุ่นวาย แค่นี้มันก็ไม่มีปัญหาในการคบหากัน แต่ถ้าคนเราใกล้กันมากจนเกิดการล้ำเส้น ขาดความเกรงใจ คาดหวังในตัวกันและกัน เรื่องจะแตกต่างกันออกไป ยิ่งสนิทมากก็ยิ่งเสียใจมาก เราจะเริ่มมองตัวตนของเพื่อนในมุมใหม่ และกลับไปมองไปรู้สึกแบบเดิมก็ไม่ได้ด้วย

Wedding Impossible (ที่เหมือนจะตั้งให้พ้องกับ Mission Impossible) เป็นซีรีส์อีกหนึ่งเรื่องในช่วงนี้ที่ยังคงวนเวียนอยู่กับการแต่งงาน เหมือนเป็นเทรนด์ในช่วงนี้เลยเนอะที่มีซีรีส์ที่มีพล็อตเกี่ยวกับการแต่งงานเยอะมาก (ซึ่งสัปดาห์หน้าก็จะมีมาเพิ่มอีกเรื่อง 555) ถึงอย่างนั้น เรื่องนี้ก็ดูจะฉีกออกไป แต่การเล่นกับพล็อตการแต่งงานกำมะลอนี่อาจจะเก่าไปหน่อย และดูเหมือนจะเดาทางได้ ถึงอย่างนั้น ซีรีส์เรื่องนี้ดูไม่จำเจ เดินเรื่องเร็วไม่เอิงเอย แถมยังได้พระเอกนางเอกที่เล่นได้เกรียนอย่างเป็นธรรมชาติ น่ารักน่าเอ็นดู ดูเพลิน และได้ข้อคิดจากบทสนทนาที่ใส่มาด้วย มันเลยรู้สึกถึงความแปลกแตกต่างจากรอมคอมทั่วไป แต่แค่พระเอกเป็นน้องซังมิน ก็ต้องตามดูจนจบอยู่แล้วปะ? 👰🏻🤵‍♂