ขับ “Nissan Terra Sport” ไปดูโมโตจีพี

3 วัน 1,000 กิโลเมตร คือระยะทางที่ผมและทีมงาน World of Speed รวมถึงทีมงาน Tonkit360 มีโอกาสขับรถ Nissan Terra Sport 2023 เส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปเขาใหญ่ และต่อไปถึงสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ศึกโมโตจีพีที่บุรีรัมย์ และขับกลับมาถึงกทม. โดยสวัสดิภาพ ตลอดเสาร์-อาทิตย์-จันทร์ ที่ผ่านมาครับ

ก่อนอื่นต้องขอบคุณ นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ที่เอื้อเฟื้อรถยนต์อเนกประสงค์พร้อมชุดแต่งสปอร์ตรุ่นล่าสุดให้กับทีมงานในการเดินทางในทริปนี้ เริ่มจากวันแรกที่ผมเดินทางไปรับรถคันนี้ที่ย่านสาทร ยอมรับว่าตื่นเต้นไม่น้อย เพราะก่อนไป ก็ดูรีวิวจากพี่ ๆ เพื่อน ๆ ตามเพจต่าง ๆ อยู่พอสมควร ซึ่งพอรวมเอาจุดดีต่าง ๆ ที่เขาพูดถึง ก็ยิ่งทำให้อยากที่จะได้ลองขับมากขึ้นไปอีก

พอได้มาเห็นรถสีเทา สเตลท์ เกรย์ พร้อมชุดแต่งสปอร์ตในรุ่นท็อปมองจากภายนอกยิ่งดูดุดันมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ดี เมื่อขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัย ก็ต้องยอมรับนะครับว่าดีไซน์ภายในไม่ว้าวเท่าไร และยังคงความเป็นนิสซ้าน นิสสัน เอาไว้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ดีก็คือ หน้าจอขนาด 9 นิ้ว ที่บอกเลยว่าใหญ่มากกก มองเห็นชัดเจน กดง่าย ทั้งแบบสัมผัส และกดปุ่ม

เรื่องของดีไซน์ภายนอกและภายในขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนนะครับ สำหรับผมชอบรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดุดัน รวมถึงความกว้างของห้องโดยสาร 2 แถวแรก ที่มีผู้โดยสาร 4 คน (รวมคนขับ) นั่งทางไกลยาว ๆ ได้แบบสบาย ๆ ส่วนเรื่องสมรรถนะและการขับขี่ เท่าที่ได้ขับมาตลอด 3 วัน ต้องบอกว่ามันคือรถแพลตฟอร์ม PPV ที่ไม่โคลง นุ่มนวลกำลังดี ไม่แข็งเกินไป

เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.3 ลิตรทวินเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า กับเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมโหมดเกียร์แมนนวลมาเป็นออปชันเสริมให้เลือกใช้ หากสตาร์ตครั้งแรกขณะที่เครื่องเย็นจะได้ยินเสียงกระหึ่มของรอบเครื่องดังขึ้นมาในช่วงสั้น ๆ และการใช้งานในช่วงออกตัวเกียร์ 1 และเกียร์ 2 ก็จะต้องรอรอบเล็กน้อยตามสไตล์รถดีเซล

การใช้งานในเมืองที่รถติด ๆ อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่หากเป็นการขับทางไกลยาว อย่างทริปที่ผมขับไปเขาใหญ่ต่อไปถึงบุรีรัมย์เป็นอะไรที่ดีมากครับ โดยเฉพาะกำลังเครื่องยนต์ในช่วงที่ความเร็วไปถึงระดับ 80 ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รู้สึกได้เลยว่าพละกำลังมาแบบเหลือเฟือ ไม่ต้องรอรอบ ในจังหวะแซงบางครั้งแค่กดคันเร่งเติมเข้าไป โดยที่ไม่ต้องคิกดาวน์ให้เปลืองน้ำมันเลยครับ

ขณะที่ช่วงล่าง ฟิลลิ่งตอนเป็นคนขับแทบจะไม่รู้สึกเลยว่าเราขับรถที่มีพื้นฐานจากรถกระบะอยู่ ส่วนฟิลลิ่งตอนนั่งเบาะแถวสอง อาการโคลงเคลงที่ต้องมีติดมากับรถประเภทนี้ก็มีไม่เยอะ รวมถึงผมลองถาม “พี่เดื่อ” ธีรพัฒน์ พิธีกร World of Speed ที่ร่วมทริปไปด้วย แกบอกว่านั่งสบาย ไม่เวียนหัว หลับได้ยาว ๆ ตลอดเส้นทางครับ

สิ่งที่อาจจะขัดใจผมอยู่บ้าง ก็เป็นจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ สำหรับผมเวลาขับกลางคืนแล้วเปิดไฟเลี้ยว เวลาตบก้านไฟเลี้ยวที่อยู่ฝั่งซ้าย นิ้วมันจะชอบไปโดยสวิตช์เปิด-ปิดไฟหน้า ที่เป็นระบบบิดอยู่บนก้านเดียวกัน รวมถึงกล้องมองหลังควรจะมีความคมชัดกว่านี้หน่อย และสุดท้ายคือความชอบส่วนตัวล้วน ๆ คือ “เสียงแตร” ครับ ที่อยากให้ดุกว่านี้อีกหน่อย

ตลอดทริป 3 วัน เส้นทางรวม 1,000 กิโลเมตร ข้อมูลจากหน้าจอคำนวณว่าเครื่องดีเซล 2.3 ลิตรทวินเทอร์โบ บริโภคน้ำมันอยู่ที่ราว 12-13 กิโลเมตรต่อลิตร ก็ถือว่าอยู่เกณฑ์ของรถ PPV ระดับเดียวกัน จากน้ำมันที่มี 3/4 ของถัง ขับไปเส้นทางกรุงเทพฯ-เขาใหญ่-บุรีรัมย์ วิ่งได้ 537 กิโลเมตร ก่อนจะเข้าพิตเติม B7 ที่บุรีรัมย์ 1,500 บาท วิ่งกลับกทม. ระยะทาง 438 กิโลเมตร ยังเหลือ!

สมรรถนะและช่วงล่างของรถช่วยลดความหนื่อยล้าในการขับได้พอสมควร เสียดายหน่อยที่ไม่ได้ลองในเส้นทางที่ต้องใช้โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ นั่นทำให้ทริปไปดูโมโตจีพีรอบนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีครับ ต้องขอบคุณ นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ขอบคุณยูโร่ เค้ก ขอบคุณทีมแข่งยามาฮ่าไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม และขอบคุณอิเดมิตสึ กับทริปนี้ด้วยครับ

สุดท้ายที่อยากจะบอก คือ สิ่งที่สังเกตได้ทั้งขาไป-ขากลับ ผมแทบไม่เจอ Terra เป็นเพื่อนร่วมทางเลย มีเจอจอดอยู่ 1 คันที่สนามช้างฯ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ยอดขายรุ่นนี้ยังเทียบเจ้าตลาดไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าหากใครที่ได้ทดลองขับ และใช้งานจริงในรูปแบบต่าง ๆ บอกเลยว่าคุณจะต้องมีลังเลแน่นอนครับ