ก้าวใหม่ของ Apple เปิดตัว iOS 17 และผลิตภัณฑ์แห่งยุค Apple Vision Pro

ภาพจาก Apple.com

สำหรับข่าวคราวในวงการเทคโนโลยีเวลานี้ คงจะไม่มีข่าวไหนที่สร้างความฮือฮาได้เท่ากับข่าวการจัดงาน Apple Worldwide Developers Conference (WWDC 2023) ของ Tech Company เจ้าดังอย่าง Apple ที่มีความยิ่งใหญ่ที่สุด โดยครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ครั้งสำคัญครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งทศวรรษของบริษัท อีกทั้งเทคโนโลยีที่ถูกกล่าวถึงในงานยังใกล้ตัวเราทุกคนมาก ไม่ว่าคุณจะเป็นสาวก Apple ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple อยู่หรือไม่ก็ตาม เพราะมันคือความก้าวหน้าไปอีกขั้นของเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมโลกจริงให้เข้ากับโลกดิจิทัลได้อย่างไร้รอยต่อ นั่นก็คือ การเปิดตัว “Apple Vision Pro” ผลิตภัณฑ์ที่ Apple บอกว่ามันคือเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

ในงาน WWDC23 มีการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของปี 2023 ไม่ว่าจะเป็น MacBook Air 15″, Apple Vision Pro, ซอฟต์แวร์ บริการ และระบบปฏิบัติการล่าสุด ได้แก่ iOS 17 macOS Sonoma และชิป M2 Ultra! สามารถรับชมย้อนหลังได้ ผ่านคลิปวิดีโอความยาวกว่า 2 ชั่วโมง 6 นาที โดย Tonkit360 ได้รวบรวมไฮไลต์ของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มาให้ ดังนี้

Mac

  • MacBook Air 15 นิ้ว รุ่นใหม่ จอ Liquid Retina ขนาด 15.3 นิ้ว ประสิทธิภาพชิป M2 เร็วขึ้นสูงสุด 12 เท่า เมื่อเทียบกับ MacBook Air ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel ที่เร็วที่สุด แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 18 ชั่วโมง และระบบเสียง 6 ลำโพง มีดีไซน์บางเพียง 11.5 มม. และน้ำหนัก 3.3 ปอนด์ เป็นแล็บท็อปรุ่น 15 นิ้ว ที่บางที่สุดในโลก มาพร้อมพอร์ต Thunderbolt จำนวน 2 พอร์ต ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมและจอภาพภายนอกสูงสุดถึงระดับ 6K รวมถึงช่องต่อหูฟัง 3.5 มม. เพื่อการเชื่อมต่อแบบอเนกประสงค์ มี 4 สีสวยงาม ได้แก่ สีมิดไนท์ สีสตาร์ไลท์ สีเทาสเปซเกรย์ และสีเงิน
  • Mac Studio ใหม่รุ่งทรงพลัง มาพร้อมชิป M2 Max และชิป M2 Ultra ซึ่งมีการเปิดตัวเป็นครั้งแรก โดยเป็นการผสานชิป M2 Max 2 ตัวเข้าด้วยกัน จึงมีประสิทธิภาพสูงยิ่งกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เพิ่ม RAM สูงสุด 192 GB เป็นครั้งแรก และถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่สำหรับผู้ใช้ที่เปลี่ยนมาจาก Mac รุ่นเก่า ๆ และต่อเชื่อมจอ Pro-Res XDR Display ได้พร้อมกัน 8 หน้าจอ รองรับงานหนัก ๆ ได้อย่างสบาย
  • Mac Pro หลังจากที่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนมานาน ในที่สุดก็เปิดตัวรุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Apple Silicon ด้วยชิป M2 Ultra ดีไซน์ตัวเครื่องยังคงเหมือนเดิม มีเพียงการปรับ layout ใหม่ของ mainboard เพื่อเพิ่มช่องต่อขยาย PCIe ทำให้สามารถต่อกับช่อง PCIe Gen 4 ได้ทั้งหมด 5 ช่อง มีช่องเสียบ HDMI และรองรับหน้าจอได้ 6 หน้าจอ ให้ขุมพลังแรงสุด ทำงานได้ทรงพลังกว่าเดิมและมากความสามารถที่สุดเท่าที่ Apple เคยมีมา

iOS 17

Apple ประกาศยุติการอัปเดต iOS อย่างเป็นทางการสำหรับ iPhone 3 รุ่นได้แก่ iPhone X, iPhone 8 และ iPhone 8 Plus โดยรุ่นที่สามารถรองรับ iOS 17 ได้ คือ iPhone Xs ขึ้นไป

  • มอบประสบการณ์ใหม่ในการแสดงตัวตน ด้วย Personalized Contact Poster เมื่อเราโทรศัพท์หาใคร เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้ภาพที่ปรากฏบนจอของคนที่เราโทรหาขึ้นมาเป็นภาพอะไร ปรับแต่งได้เหมือนกับหน้าจอล็อก ทั้งรูปภาพหรือมีโมจิ รวมไปถึงฟอนต์ตัวหนังสือและสีสันที่กำหนดเอง เพิ่มประสบการณ์ใหม่ในการรับสายเรียกเข้า
  • Live Voicemail บางครั้งก็เป็นการยากที่เราจะตัดสินใจรับสายหมายเลขที่เราไม่รู้จัก ต่อจากนี้ ถ้ามีคนโทรหาและฝากข้อความไว้ เราจะเห็นการถอดเสียงในขณะที่พวกเขาพูดออกมาเป็นตัวหนังสือแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยในการตัดสินใจว่าจะรับสายดีหรือไม่ ถ้าเราอยากพูดกับพวกเขา ก็สามารถรับสายได้เลยทันที
  • FaceTime เมื่อเราโทรหาใครบางคนผ่าน FaceTime เราสามารถฝากข้อความไว้ในรูปแบบวิดีโอหรือเสียงก็ได้ ในกรณีที่ไม่มีผู้รับสาย
  • Message มีการเพิ่มลูกเล่น ไม่ว่าจะเป็น Search Filter เป็นตัวกรองการค้นหา เพื่อการค้นหาที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากยิ่งขึ้น จำกัดการค้นหาให้แคบลงเพื่อค้นหาในสิ่งที่เราต้องการ เพิ่มลูกศรที่ด้านบนขวาของการสนทนา เรียกว่า Catch-up ที่ช่วยให้เราข้ามไปยังข้อความแรกที่เรายังไม่เห็น สำหรับวันที่วุ่นวาย หรือมีเรื่องให้ฝอยกันจนกลุ่มแชตระเบิด Swipe to reply ที่ช่วยให้การตอบกลับในบรรทัดเร็วขึ้นกว่าที่เคยเพียงแค่ปัดเท่าเท่านั้น อีกทั้งเมื่อคุณได้รับข้อความเสียงแต่ไม่สามารถฟังได้ ข้อความเหล่านั้นจะถูกถอดเสียงออกมาให้คุณอ่านได้ในทันที ด้วย Audio message transcription และการแชร์ตำแหน่งจะช่วยให้เราติดตามตำแหน่งของเพื่อนได้โดยตรงจากการสนทนา ด้วยฟีเจอร์ Inline location
  • Check In ฟีเจอร์สำหรับอัปเดตความปลอดภัยของตัวเรากับเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว ให้พวกเขาได้ทราบว่าเรากลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว ตรวจจับโดยอัตโนมัติว่าเรากลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว และแจ้งให้คนอื่น ๆ ในกลุ่มสนทนาทราบ ซึ่งถ้าหากว่ามีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นระหว่างทาง ระบบก็จะรับรู้ได้ว่าเรามีการเดินทางที่ผิดปกติไปยังจุดหมายปลายทาง ระบบจะแจ้งเตือนให้เราอัปเดตข้อมูล ซึ่งถ้าเราไม่ตอบสนอง ระบบก็จะแชร์ข้อมูลตำแหน่งปัจจุบันและเส้นทาง ระดับแบตเตอรี่ และเครือข่ายเซลลูลาร์ ให้กับเพื่อนหรือครอบครัวได้ทราบโดยอัตโนมัติ โดยข้อมูลทั้งหมดนี้จะได้มีการเข้ารหัสจากต้นทางถึงปลายทาง
  • อัปเดตวิธีการเข้าถึงแอปฯ iMessage ที่เคยอยู่เหนือแป้นพิมพ์ จะถูกซ่อนไว้ เพียงแค่แตะเครื่องหมาย + เราก็จะได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราส่งบ่อยที่สุด และเมื่อปัดขึ้น ก็จะเห็นแอปฯ iMessage ทั้งหมดของคุณ
  • Sticker เราสามารถเพิ่มสติกเกอร์หรือทำให้อิโมจิเป็นสติกเกอร์ ส่งไปในข้อความที่เราสนใจด้วยการกดค้างแล้วลากไปยังข้อความนั้น ๆ จะหมุนหรือปรับขนาดได้ก็ได้ตามใจชอบ และยังสามารถเอาภาพหรือคลิปสั้น ๆ ของเราเองมาทำเป็น Live Stickers ได้ด้วย
  • AirDrop เพิ่มฟีเจอร์ NameDrop ส่งข้อมูลหากันกับผู้ใช้ iPhone ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ อีเมล จากที่ปกติเราใช้ส่งรูปภาพ วิดีโอขนาดใหญ่ รวมไปถึงการแชร์เพลง ทั้งหมดนี้สามารถทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แค่ให้ตัวเครื่องอยู๋ใกล้ ๆ แต่สำหรับไฟล์ขนาดใหญ่มาก เมื่อส่งหากันแล้ว เราสามารถแยกโทรศัพท์ออกห่างกันได้โดยที่ไม่หลุด ไฟล์สามารถส่งต่อเนื่องผ่านอินเทอร์เน็ต
  • Keyboard เพิ่มความฉลาดในการพิมพ์ หรือ Intelligent Keyboard โดยมีระบบแก้ไขข้อความให้ถูกต้อง แค่แตะ และมีระบบคาดเดาคำและประโยคที่ฉลาดกว่าเดิม โดยจะแนะนำคำหรือข้อความที่ผู้ใช้น่าจะพิมพ์ให้สามารถกด Space Bar เพื่อพิมพ์ข้อความนั้น ๆ ได้ทันที และยังสามารถเติมประโยคด้วยเสียงพูดที่มีความแม่นยำมากขึ้น
  • Journal แอปฯ ใหม่ที่จะช่วยแนะนำการจดบันทึกจากข้อมูลต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ที่คุณสร้างเองหรือระบบสร้าง เช่น รูปภาพ ผู้คน สถานที่ การออกกำลังกาย และอื่น ๆ รวมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดีในการไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ โดยจะสามารถล็อกการบันทึกและมีการเข้ารหัสไว้ ทำให้คนอื่นหรือแม้แต่ Apple ก็ไม่สามารถแอบอ่านได้
  • Standby ในขณะที่วาง iPhone ชาร์จในแนวนอน หน้าจอจะสามารถแสดงข้อมูลต่าง ๆ แบบเต็มจอให้สามารถดูได้จากระยะไกล เช่น นาฬิกา ปฏิทิน พยากรณ์อากาศ หรือการเล่นเพลง เป็นต้น
  • ฟีเจอร์ ๆ ที่น่าสนใจ เช่น แอปฯ สุขภาพ (Health) ที่เพิ่มฟีเจอร์ด้านสุขภาพจิตให้สามารถจดบันทึกอารมณ์ในแต่ละช่วงเวลาได้ แอปฯ แผนที่ (Maps) รองรับการใช้งานแบบออฟไลน์ และ Apple Music ที่เพิ่มฟีเจอร์ Collaborative Playlist ทำให้ฟังเพลงร่วมกับเพื่อน ๆ ได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงคำสั่ง Hey Siri ที่ต่อจากนี้จะเหลือแค่ Siri เท่านั้น

iPadOS 17

นอกจาก iOS 17 ที่มีการเปลี่ยนแปลง iPad OS 17 ก็มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้

  • Widget ช่วยให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการได้เพียงแค่แตะ ลงมือทำนั่นทำนี่ได้ง่ายกว่าเดิม และดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้เพียงแค่เหลือบมอง และ Widget บนหน้าจอล็อกยังรวมเข้ากับภาพพื้นหลังอย่างกลมกลืนโดยมีการปรับโทนสีให้เข้ากันและปรับแต่งให้มองเห็นชัดเจน
  • Lock Screen ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าจอล็อกให้มีความเป็นส่วนตัว มีประโยชน์ และสวยงามโดยใช้ประโยชน์เต็มที่จากจอภาพ iPad ตั้งรูปโปรดบนหน้าจอล็อกและแต่งรูปในสไตล์ใหม่ ๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือกรูปภาพจากคลังส่วนตัว หรือรูปภาพชุดหนึ่งที่จะสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตลอดวัน เลือกภาพพื้นหลังจากแกลเลอรี่ของหน้าจอล็อกที่จะดูโดดเด่นสวยงามบนหน้าจอขนาดใหญ่ของ iPad จากนั้นปรับแต่งวันที่และเวลาโดยการเลือกฟอนต์และสีสันจากหลายแบบที่มีให้เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวเอง หรือสร้างดีไซน์ที่ไม่ซ้ำใครโดยใช้อิโมจิตัวโปรดและชุดสีที่ชอบ หรือ Live Photo ที่จะเคลื่อนไหวเนียนตาในแบบ Slowmotion ทุกครั้งที่ปลุก iPad ขึ้นมา
  • Live Activities แสดงผลกิจกรรมสดที่คุณต้องทำหรือเวลาต่าง ๆ ไว้บนหน้า Lock Screen ได้แบบ iPhone ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แบบเรียลไทม์จากหน้าจอล็อก
  • Health แสดงข้อมูลได้มากขึ้น ทำงานร่วมกับไฟล์ PDF ได้ นอกจากนี้ ผู้ใช้ iPad ยังสามารถติดตามและจัดการการกินยา ใช้คุณสมบัติการติดตามรอบเดือน บันทึกอารมณ์ในชั่วขณะหนึ่งและอารมณ์ประจำวัน ดูบันทึกสุขภาพที่มีอยู่ของตนเองจากสถาบันต่าง ๆ หลายแห่ง และอื่น ๆ ทั้งหมดนี้ทำได้โดยรวมศูนย์ไว้อย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัวในที่เดียว
  • PDF การป้อนข้อมูลใน PDF จะง่ายยิ่งกว่าที่เคย เพราะ iPadOS 17 ใช้การเรียนรู้ของระบบในการมองหาช่องกรอกข้อมูลบน PDF เพื่อให้ผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลจากแอปรายชื่อ เช่น ชื่อ ที่อยู่ และอีเมลลงในช่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว สามารถเติมข้อความ และส่งอีเมลได้ด้วย และยังสามารถให้ Note เขียนเข้าไปและยังสามารถเขียนข้อความร่วมกันกับเพื่อนคุณ

macOS

Apple เผยว่า macOS ใหม่นี้มีชื่อว่า Sonoma สิ่งที่เพี่มเติมมีดังนี้

  • Widget สามารถวาง Widget ไว้บน Home Screen ได้เลย ลักษณะเดียวกับ iPhone, iPad และยังปรับความโปร่งแสงหรือลดแสงลงให้กลมกลืนไปกับ Wallpaper ไม่กวนสายตา
  • Game นอกจากให้จอย PS5 ต่อเชื่อมได้แล้ว ยังมีการเพิ่ม Game Porting API เพิ่มความเร็วในการพัฒนาเกมบนทรัพยากรของ Mac สามารถรันเกมที่ใช้กราฟิกสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน และภาพที่สวยสะดุดตา นักพัฒนายังคงใช้ประโยชน์จาก Metal 3 เพื่อนำเกมน่าตื่นเต้นใหม่ ๆ หลายเกมมาอยู่บน Mac พร้อมเปิดตัวเกม DEATH STRANDING DIRECTOR’S CUT ให้เล่นได้บน Mac
  • Video Conference ได้อย่างมืออาชีพ สามารถเลือกการพรีเซนต์งานแบบที่มีทั้งหน้าเราและมีจองานซ้อนอยู่ข้างหลัง มี Reaction ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์สิ่งที่รู้สึกได้ด้วยการเพิ่มลูกโป่ง กระดาษสายรุ้ง หัวใจ และอื่น ๆ ในวิดีโอซึ่งสามารถกดได้โดยใช้สัญลักษณ์มือ ตัวเลือกการแชร์หน้าจอที่ปรับปรุงใหม่ทำให้ขั้นตอนการแชร์แอปฯ ง่ายขึ้นระหว่างวิดีโอคอล ผู้ใช้เพียงแค่คลิกปุ่มสีเขียวที่มุมบนซ้ายของแอปแล้วเลือกแชร์ในคอล ทำให้สามารถแชร์เนื้อหาจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ปัจจุบันได้
  • Safari มีการอัปเดตการท่องเว็บแบบส่วนตัวครั้งสำคัญ โดยมอบการปกป้องที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมขณะท่องเว็บทั้งจากอุปกรณ์ติดตามและจากผู้ที่อาจสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ของผู้ใช้ อย่างคุณสมบัติอันล้ำสมัยที่ปกป้องผู้ใช้จากการถูกติดตามและสะกดรอยในการท่องเว็บแบบส่วนตัวนั้นก็ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นไปอีกเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ติดตามหรือระบุผู้ใช้ หน้าต่างการท่องเว็บแบบส่วนตัวยังล็อกเมื่อผู้ใช้ไม่ใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้เปิดแถบเว็บไซต์ทิ้งไว้ได้แม้จะไม่อยู่หน้าอุปกรณ์

Audio & Home

  • เพิ่มลูกเล่นให้กับ AirPods Pro ด้วยฟีเจอร์ใหม่ Adaptive Audio ปรับโหมดการตัดเสียงรบกวนตามสิ่งแวดล้อมจริง เพิ่มความปลอดภัยให้กับการฟังเพลงในขณะที่เดินถนน
  • การเชื่อมต่อกับ HomePods ได้อย่างอัตโนมัติ และสั่ง Siri เล่นเพลงได้นอก Apple Music
  • AirPlay in Hotel เชื่อมคอนเทนต์จาก iPhone ไป TV ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องล็อกอินอะไรกับ TV ของโรงแรม แชร์เนื้อหาได้ง่ายกว่าเดิมเนื่องจากมีระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์ที่จะคอยศึกษาความชื่นชอบของผู้ใช้
  • Car Play ยังสามารถ Share Play เข้าไปยังวิทยุในรถยนต์ได้
  • tvOS เปลี่ยน Control Center ใหม่หมด สามารถเพิ่มการควบคุมอุปกรณ์ AIoT ได้ ใช้ iPhone ตามหา Remote TV หรือจะ FaceTime บนจอ TV โดยใช้กล้องของ iPhone ก็ทำได้เช่นกัน

watchOS 10

  • ปรับการแสดงผลบนจอนาฬิกา แสดงผล Widget ที่เราสนใจให้เราเห็นได้อย่างรวดเร็ว ระบบจะรู้ว่าอะไรที่เราดูบ่อย ๆ ก็จะทำให้เราเข้าถึงได้ง่าย ๆ และยังมี Watch Face ใหม่ 2 แบบ ได้แก่ Palette และ Snoopy หน้าปัด Palette จะแสดงเวลาด้วยสีสันที่หลากหลายโดยใช้การวางสีซ้อนทับกันสามชั้น และเมื่อเวลาผ่านไป สีบนจอภาพก็จะเปลี่ยนไปด้วย
  • Cycling โปรแกรมออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยาน อัปเดตให้แสดงข้อมูลที่สำคัญเพื่อให้เราติดตามและปรับปรุงกิจกรรมของตัวเอง เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมสำหรับการปั่นจักรยานที่ใช้บลูทูธได้โดยอัตโนมัติ เช่น มาตรวัดกำลัง เซ็นเซอร์วัดความเร็ว และเซ็นเซอร์วัดรอบขา ซึ่งช่วยให้ค่าวัดใหม่ล่าสุดทำงานได้
  • Hiking โปรแกรมกรมการปีนเขา เพิ่มฟีเจอร์เข็มทิศและแผนที่ที่อัปเดตใหม่ ในกรณีฉุกเฉิน Last Emergency Call Waypoint จะประมาณว่าจุดใดบนเส้นทางที่อุปกรณ์มีการเชื่อมต่อล่าสุดกับเครือข่ายของผู้ให้บริการใด ๆ เพื่อให้สามารถโทรฉุกเฉินได้
  • Workout API บอกข้อมูลการออกกำลังกายเกี่ยวกับกีฬากอล์ฟ วัดองศาวงสวิง หรือการเสิร์ฟลูกเทนนิส
  • Mantal Health ผู้ใช้สามารถใช้แอปทำสมาธิใน watchos 10 บันทึกอารมณ์ความรู้สึก ณ ขณะนั้นได้

Apple Vision Pro

ภาพจาก Apple.com

ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ฮือฮาที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้นแว่น AR ที่ Apple ใช้เวลาซุ่มพัฒนามานานนับ 10 ปี มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง visionOS ซึ่ง Apple Vision Pro นี้จะเป็นเทคโนโลยีที่ผสานชีวิตของคนให้เข้ากับเทคโนโลยีอย่างไร้รอยต่อ ปฏิวัติวงการ AR อย่างยิ่งใหญ่ เชื่อมต่อโลกดิจิทัลเข้ากับโลกความเป็นจริงอย่างแนบเนียน สร้างปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์ดิจิทัลแบบที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งล้ำหน้าไปไกลและแตกต่างจากทุกอย่างที่เคยสร้างมา ด้วยการทำงานที่ขยายข้ามขอบเขตของจอภาพแบบเดิมโดยอาศัยอินเทอร์เฟซที่มีความเป็น 3 มิติในทุก ๆ ส่วน และควบคุมด้วยวิธีป้อนคำสั่งที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด นั่นคือดวงตา มือ และเสียงของผู้ใช้

visionOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการเชิงพื้นที่ระบบแรกของโลก ช่วยให้ผู้ใช้ Vision Pro สามารถโต้ตอบกับคอนเทนต์ดิจิทัลในแบบที่ให้ความรู้สึกราวกับว่ามีสิ่งนั้นอยู่ในพื้นที่ของผู้ใช้จริง ๆ เราสามารถควบคุมทุกอย่างได้เพียงแค่สวมแว่น ไม่ว่าจะเป็นสายตา การเคลื่อนไหวของมือ แค่ขยับนิ้วบนอากาศ จะถ่างหรือลากนิ้วก็สามารถใช้งานได้อย่างเป็นธรรมชาติ หรือจะสั่งการด้วยเสียงผ่าน Siri ก็ได้

Apple Vision Pro ใช้งานได้ทั้งโหมด VR และโหมด AR โดยสามารถสลับโหมดใช้งาน หรือใช้ควบคู่กันไประหว่าง VR และ AR เพื่อประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ และเพิ่มความสมจริงได้อีกด้วย การสวมแว่น Apple Vision Pro จะช่วยให้เรามองเห็นภาพและเสียงจากจอแสดงผลแบบ 3 มิติ ภาพความละเอียดคมชัดสมจริง ซึ่งนอกจากนำไปใช้ประโยชน์ในด้านความบันเทิงอย่างการดูหนัง ชมวิดีโอ หรือเล่นเกมแล้ว คาดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์กับวงการอื่น ๆ ได้ในอนาคต

ฟีเจอร์ Eye Sight ที่สามารถปรับความโปร่งใสของหน้าจอ ที่ทำให้เราสามารถมองเห็นคนรอบตัว และคนรอบตัวก็เห็นเราด้วย โดยเราสามารสวมแว่น Vision Pro มองคอนเทนต์ดิจิทัลไปพร้อม ๆ กับใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ จอแว่นเปิดเป็นโปร่งใส ให้คนรอบข้างสามารถมองเห็นดวงตาของเราได้ นอกจากนี้ Vision Pro ยังเป็นกล้อง 3 มิติตัวแรกของ Apple เราสามารถกดปุ่มให้บันทึกความเคลื่อนไหวได้แบบ 3 มิติ ในแง่ของการใช้เพื่อดูภาพหรือวิดีโอ จะทำได้อย่างสมจริง

ภาพจาก Apple.com

สเปกของ Apple Vision Pro ใช้กระจกชิ้นเดียวขึ้นรูปเป็นกระจกโค้ง พร้อมเลนส์สำหรับดวงตาแต่ละข้าง โดดเด่นที่กล้องจำนวน 12 ตัว ที่มีจอแสดงผลภาพคมชัดละเอียดมากถึง 23 ล้านพิกเซล แบบ 4K มาพร้อมกล้องเซนเซอร์ประสิทธิภาพสูง 5 ตัว ที่จับความเคลื่อนไหวของศีรษะและท่าทางต่าง ๆ ของมือเพื่อฉายภาพ 3 มิติอย่างสมจริงแม่นยำ และควบคุมการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด ลำโพงเสียงรอบทิศทาง มีชิปประมวลผล คือ M2 และ R1 ซึ่งเป็นชิปตัวใหม่ ด้านความปลอดภัยและการรักษาความเป็นส่วนตัว ใช้การปลดล็อกด้วยม่านตา ซึ่งเรียกว่า Optic ID

Apple Vision Pro ถูกออกแบบตามสไตล์ของ Apple ให้มีน้ำหนักเบา พกพาสะดวก ดีไซน์ทันสมัย ใช้วัสดุพรีเมียมที่มีคุณสมบัติเพิ่มความสบายในการสวมใส่ แก้ว อะลูมิเนียม และคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงสูง แต่มีน้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่นสามารถปรับให้เข้ากับโครงหน้าของผู้สวมใส่ได้ มีระบบระบายอากาศและระบายความร้อนได้ดี แบตเตอรี่ใช้งานได้ 2 ชั่วโมง

ในเมื่อ Apple กล้าพูดว่า Apple Vision Pro เป็นผลิตภัณฑ์ที่เจ๋งที่สุดของยุค ด้วยสเปกขนาดนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราคาของแว่น Apple Vision Pro จะสูงตาม เพราะ Apple Vision Pro ตัวนี้ เปิดตัวในราคาที่สูงถึง 3,499 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 122,000 บาท โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในปีหน้า ซึ่งนี่ถือว่าเป็นราคาที่สูงมาก เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ของMeta เจ้าของเฟซบุ๊ก Meta Quest 2 ถึงอย่างนั้น การตลาดของ Apple ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเจาะลูกค้ากลุ่ม High-end และสาวกที่จงรักภักดีกับแบรนด์ ซึ่งหลายคน เป็นกลุ่มคนชอบเทคโนโลยีที่มีกำลังซื้อสูงนั่นเอง