สัปดาห์นี้ขอฉีกคอนเซปต์คอลัมน์ออกไปสักหน่อย ซึ่งปกติจะเน้นบ้าซีรีส์และหวีดผู้ชายเป็นหลัก ถึงอย่างนั้น นาน ๆ ทีก็จะสละเวลาดูเรื่องแต่งอย่างพวกซีรีส์หรือละคร ไปดูอะไรที่มันมีสาระเน้น ๆ อย่างสารคดีเหมือนกัน ในคอลัมน์นี้ก็เคยมีสารคดีเหมือนกันเมื่อนานมาแล้ว และหลังจากที่ได้ดูสารคดีชุดนี้จบ ก็รู้สึกว่าควรจะนำมาแชร์ต่อดู เผื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย มันเป็นสารคดีที่พอจะเห็นคนพูดถึงบ้างบนโซเชียลมีเดีย แต่แน่นอนว่าสารคดีมันคงไม่ได้ซื้อใจคนได้ดีเท่าซีรีส์หรือละครอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องจริงและค่อนข้างเครียดน่ะ
In the Name of God: A Holy Betrayal หรือ In the Name of God ศรัทธาลวง เป็น documentary series จาก Netflix ซึ่งจัดอยู่ในหมวดหมู่รายการทีวีอาชญากรรม โดย Netflix ขึ้นข้อความโปรยซีรีส์สารคดีชุดนี้ไว้ว่า “ซีรีส์สารคดีจากเรื่องจริงสะเทือนขวัญตีแผ่โฉมหน้าของผู้นำทางศาสนาชาวเกาหลี 4 คนที่อ้างตนว่าเป็นผู้มาโปรดโลก และด้านมืดของศรัทธาที่งมงายไร้ข้อกังขา” เมื่อเปิดเข้าไป จะพบว่ามีทั้งหมด 8 ตอน แบ่งเป็นตอนที่เล่าเรื่องราวของผู้นำลัทธินอกรีต 4 คน 4 เรื่อง ประกอบด้วย
- ตอน JMS (จำนวน 3 ตอน) เรื่องราวของชายที่ชื่อว่าจองมยองซอก เข้าอ้างตัวว่าเป็นคนที่สื่อสารกับพระเจ้าได้ และบางครั้งก็อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าด้วยซ้ำ ชายผู้นี้สร้างลัทธิและอาณาจักรขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ มีสาวกอยู่ทั่วทุกมุมโลก จุดเด่นของตอนนี้คือ ชายผู้นี้ก็เป็นแค่คนที่หาประโยชน์จากการอ้างตัวเป็นพระเจ้า คัดเลือกเหล่าสาวกสาว ๆ ของลัทธินับร้อยนับพันคนมาเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์
- ตอน Five Oceans, God and 32 Dead Boies ห้ามหาสมุทร หนึ่งพระเจ้า และ 32 ร่างไร้ชีวิต (จำนวน 1 ตอน) เรื่องราวผู้หญิงที่ชื่อว่าพัคซุนจา หญิงเก่งเจ้าของบริษัทห้ามหาสมุทร ในขณะเดียวกันก็แสร้งว่าเป็นคนมีจิตใจเมตตา สร้างอาณาจักรที่ดูแลผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและเด็ก ๆ ที่กำพร้า ซึ่งความจริงมันมีเบื้องหลังที่เลวร้าย ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจำนวนมากให้หยิบยืมเงินจำนวนมหาศาล เพราะศรัทธาความเป็นแม่พระและเพื่อสนับสนุนสิ่งดี ๆ ที่เธอทำ แต่กลายเป็นว่าหนี้สินเริ่มรุงรัง เธอหาเงินมาคืนเจ้าหนี้ไม่ได้ มีการทำร้ายร่างกายและบังคับให้เจ้าหนี้ยกหนี้ หลังจากการปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในคดีทำร้ายร่างกาย เธอกลายเป็นศพพร้อมกับสาวกอีก 31 ราย
- ตอน The Baby Garden สวนของเด็กน้อย (จำนวน 2 ตอน) เรื่องราวของผู้หญิงที่ชื่อว่าคิมกีซุน เดิมทีเคยเป็นสาวกของเจ้าลัทธิหนึ่ง ก่อนที่จะโอนย้ายความเชื่อของคนที่ศรัทธาในตัวอาจารย์ผู้นั้นมาอยู่ที่ตัวเธอเอง เธอเรียกตัวเองว่าเด็กน้อย และสร้างอาณาจักรพันปี ที่สาวกสามารถมีความสุขหลังวันสิ้นโลกได้ที่สวนแห่งนิรันดร์แห่งนี้ ความเลวร้ายของเธอคือการใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่ง ปั่นหัวคนอื่นให้เชื่อจนสามารถทำร้ายและฆ่าคนตายได้อย่างไม่รู้สึกผิด รวมไปถึงกอบโกยเงินที่สาวกนำมาทำบุญจนมีความเป็นอยู่ที่หรูหราในอาณาจักรสวนของเด็กน้อยนั้น
- ตอน The Man Who Become God Manmin ชายที่กลายเป็นพระเจ้าของชาวมันมิน (จำนวน 2 ตอน) เรื่องราวของชายที่ชื่อว่าอีแจรก เขาอ้างว่าตนเองได้รับปาฏิหาริย์การรักษาโรคประจำตัวมากมายที่เขาเป็นอยู่ด้วยการสวดให้พรพร้อมกับการวางมือ จากนั้นเขาได้แยกตัวออกมาสร้างคริสตจักรมันมินที่เป็นอิสระต่อคริสตจักรสากล จนทำให้คริสตจักรมันมินกลายเป็นลัทธิสำคัญทางศาสนาคริสต์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเกาหลีใต้ ณ เวลานั้น มีผู้คนศรัทธามากกว่าหมื่นคน เขาหาผลประโยชน์จากการบริจาคเงินนำไปเล่นการพนัน และการล่วงละเมิดทางเพศสาวกผู้หญิงหลายคน
จะไม่ลงรายละเอียดไปที่เหตุการณ์ของแต่ละตอนแล้วกัน เพราะมันมีรายละเอียดเยอะมาก มีหลายส่วนที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับคดีความ คำให้การของเหยื่อ และคำพิพากษา (ที่ไม่สาสมกับความผิด) ด้วย ถ้าอยากเก็บรายละเอียดเหล่านี้ให้ครบก็ควรที่จะดูเองดีที่สุด แต่ถ้ากลัวรับความหนักหน่วงไม่ไหว (ซึ่งมันหนักหน่วงจริงจัง) เห็นมีเพจเฟซบุ๊กที่เขียนสปอยล์ไว้อย่างละเอียดอยู่ และมีทำคลิปสรุปด้วย แค่อ่านเอาและจินตนาการตาม ก็ชวนกระอักกระอ่วนคลื่นเหียนแล้วบอกเลย เพราะฉะนั้น ถ้าดูเองแล้วเห็นภาพที่เป็นฟุตเทจของจริงด้วยหนักกว่าแน่นอน ก่อนเริ่มต้นสารคดีจะมีเตือนว่าเหตุการณ์ทั้งหลายมันสมจริงจนสร้างความไม่สบายใจให้แก่ผู้รับชมได้ และใช้คำให้การตามจริง
ยุค 80 เป็นช่วงเวลาที่มืดมนสำหรับเกาหลี ผู้คนต่างตกอยู่ในความสับสน ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร
พูดได้เลยว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริง ว่าทำไมคนทั้ง 4 คนที่ถูกเอ่ยถึงในสารคดี จึงสามารถอ้างตนว่าเป็นผู้มาโปรดโลก และเผยแผ่ลัทธินอกรีตจนมีกลุ่มสาวกที่ศรัทธาชนิดคลั่งไคล้ได้เรือนพันเรือนหมื่นคนขนาดนี้ ความศรัทธาแบบที่ว่าพร้อมจะยอมทำทุกอย่างตามที่เจ้าลัทธิสั่งโดยที่ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ เลย เชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าลัทธิพูดโดยไร้ข้อกังขา เขาให้ทำอะไรก็ทำ ทำอย่างที่เชื่อสนิทใจว่าเป็นคำสั่งจากพระเจ้าที่บอกให้ทำ และในวินาทีนั้นก็ไม่มีใครมีสติที่จะเอะใจว่ามันแปลก ๆ ด้วย มันจึงเป็นที่มาของคดีที่น่าเศร้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคดีฉ้อโกงจนหมดเนื้อหมดตัว คดีข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศ คดีความรุนแรงและทำร้ายร่างกาย หนักสุดก็คือคดีฆาตกรรม

เนื่องจากช่วงเวลาที่มืดมนนั้น มันคือช่วงที่จิตใจผู้คนหวั่นไหวได้ง่าย การไม่มีที่อะไรให้จิตใจสามารถยึดเหนี่ยวหรือพึ่งพาทางใจได้เลย กลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ลัทธิแปลก ๆ สามารถแทรกซึมเข้าไปในชีวิตของผู้คนได้ทีละนิดทีละน้อย เมื่อเจ้าลัทธิอ้างว่าตนเองว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดพระเจ้า รับคำสั่งโดยตรงจากพระเจ้า หรือแม้กระทั่งอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าแห่งยุคที่ลงมาจุติใหม่ ทำการเผยแผ่คำสอนที่คนสามารถสัมผัสได้ง่าย ๆ สามารถเข้าใจและคล้อยตามได้จากประสบการณ์ที่ตัวเองมี เพราะมันเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีความรู้หรือเรียนหนังสือสูง ๆ ก็สามารถเข้าถึงและเข้าใจคำสอน หรือสิ่งต้องประสงค์ของพระเจ้าได้เลยทันที
มันเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์อยู่แล้ว มนุษย์อยากมีความสุข มนุษย์อยากพ้นทุกข์ มนุษย์อยากทำบุญ มนุษย์อยากไถ่บาป โดยเฉพาะมนุษย์ที่อยู่ในยุคมืดมนเช่นนั้น อ้างอิงจากสารคดีอาชญากรรมจาก Netflix เช่นกัน เรื่อง The Raincoat Killer : Chasing a Predator in Korea เป็นคดีดังคดีใหญ่ที่นักวิเคราะห์พฤติกรรมหรือโปรไฟล์เลอร์ พยายามวิเคราะห์ถึงมูลเหตุในจิตใจที่ทำให้คนคนหนึ่งกลายร่างเป็นปีศาจลงมือไล่ฆ่าผู้คนนับสิบ เขาได้คำตอบว่าสภาพสังคมของเกาหลีใต้ในเวลานั้นมีส่วนอย่างมากที่ปลุกความเป็นปีศาจในตัวยูยองชอล

ตั้งแต่ในช่วงปี 1963 มาจนถึงปี 1980 หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองและคาบสมุทรเกาหลีถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ช่วงปี 1980 เผด็จการทหารมีอำนาจอย่างมากในเกาหลี พลเรือนที่ต่อต้านก็ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก และผลที่ตามมาในช่วงเผด็จการ คือสิทธิต่าง ๆ ของประชาชนก็ถูกจำกัดอย่างรุนแรง และแม้ว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะยังคงเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ แต่มันเป็นไปในลักษณะรวยกระจุกจนกระจาย คนบางกลุ่มรวยเอา ๆ ในขณะที่คนอีกกลุ่มก็ยังจนเหมือนเดิม ความเหลื่อมล้ำทางสังคมเป็นที่มาของการหาทางออกของคนกลุ่มที่พยายามด้วยตัวเองเท่าไรก็ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้เสียที
พูดง่าย ๆ ก็คือ ความสิ้นหวังทำให้คนเริ่มหันไปพึ่งพระเจ้า เพราะใคร ๆ ก็อยากจะดีดตัวเองให้พ้นจากขุมนรกทั้งนั้น จุดเริ่มต้นที่มาจากการฟังคำสอนแล้วศรัทธา รู้สึกว่าคำสอนเหล่านั้นเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ใช้งานได้จริง และการสวดมนต์ก็ทำให้จิตใจสงบลงได้จริง ๆ บวกกับการแสดงความลึกลับ ปาฏิหาริย์ที่ทำให้ตนเองดูไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกนิด ๆ หน่อย ๆ จากความเชื่อ ความศรัทธา เริ่มถลำลึกลงไปกลายเป็นความมืดบอดอย่างขาดสติสัมปชัญญะ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เอาแต่อ้อนวอนร้องขอต่อพระเจ้าขอให้ชีวิตของตนเองดีขึ้น และถ้าพระเจ้าต้องการอะไรก็จะทำให้ทุกอย่าง

ผู้คนหวังว่าผลของการทำที่เชื่อฟังตามคำสั่งพระเจ้าจะพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เป็นดั่งสรวงสวรรค์ และการฝ่าฝืน ไม่ทำตามสิ่งที่พระเจ้าต้องการก็จะเป็นบาป ทำบาปตกนรก นรกที่แย่กว่าเรื่องเลวร้ายทั้งปวง ในเมื่อพวกเขาเหล่านี้เชื่อว่าเจ้าลัทธิแต่ละคนคือผู้ที่รับสารจากพระเจ้านำมาเผยแผ่ จึงไม่แปลกที่จะหลงเชื่อและศรัทธาในตัวคนผู้นั้นอย่างงมงายไร้เงื่อนไขและข้อกังขาต่าง ๆ
คนเหล่านี้มีความเชื่อต่อการศรัทธาในเจ้าลัทธิอย่างมากด้วยเหตุผลข้างต้น ความอ่อนแอทางจิตวิญญาณ และจิตใจที่ไม่มั่นคงต้องการสิ่งที่สามารถยึดเหนี่ยวได้ และลัทธิเหล่านี้ก็แทรกซึมเข้ามาในช่วงเวลานี้พอดี กลายเป็นแรงกระตุ้นชั้นดีทำให้พวกเขาศรัทธาลัทธินอกรีตเหล่านี้มากขึ้น ๆ อย่างน้อยที่สุด หากชีวิตที่สวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้ามันไม่อาจดีขึ้นได้ในชาติภพนี้ ก็ขอให้ชีวิตหลังความตายหรือชาติภพหน้ามีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ ไม่ขอพบเจอกับสิ่งที่เลวร้ายเหมือนที่อย่างในปัจจุบัน พวกเขาจึงทำทุกอย่างเพื่อหวังให้พระเจ้าตอบสนองคำขอของพวกเขา
ถ้ามีคนอย่างน้อยหนึ่งคนออกมาพูดความจริง ก็คงไม่มีใครต้องตกเป็นเหยื่ออีกค่ะ
ต้องบอกว่าความศรัทธาแบบแรงกล้าชนิดที่ยอมทำทุกอย่างตามคำสั่งแบบไร้เงื่อนไข ไร้ข้อกังขาแบบที่เกิดขึ้นในสารคดี 8 ตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เหยื่อต้องสำนึกรู้ด้วยตัวเองว่าตนเองคือเหยื่อ มีแค่ตัวของพวกเขาเองเท่านั้นที่จะเอะใจได้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่มันคือนรกต่างหาก และจะพาตัวเองออกมาจากสรวสวรรค์จอมปลอมพวกนั้นได้เสียที คนดูสารคดีชุดนี้หลาย ๆ คนอาจสงสัยขึ้นมาว่าครอบครัวหรือคนใกล้ชิดคนเหล่านี้ไม่คิดที่จะพูดจะบอกหรือเตือนอะไรเลยหรือ ทั้งที่คำสอนและคำสั่งหลาย ๆ อย่างมันออกจะบ้าบอ ไร้ตรรกะ และไม่อยู่บนพื้นฐานความจริงขนาดนั้น เชื่อลงไปได้อย่างไรกัน ไม่เข้าใจจริง ๆ
ใช่! มองและตัดสินจากมุมคนนอก “ที่ดูสารคดีอยู่” มันบ้าบอและโง่เขลาสิ้นดี แต่คนเหล่านี้คิดหรือรู้สึกอะไรอยู่ตอนที่หลงเชื่อลัทธิพวกนี้จนเข้าขั้นงมงาย เป็นสิ่งที่เราไม่มีทางเข้าใจและรับรู้ได้เลย คนคนหนึ่งต้องสิ้นหวังมากขนาดไหนถึงเลือกที่จะหันหน้าไปพึ่งพระเจ้า และยอมทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าบัญชามาผ่านเจ้าลัทธิทั้ง 4 คน สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ เมื่อทำตามคำสั่งของพระเจ้า ไม่ว่าจะยอมถูกล่วงละเมิดทางเพศ ยอมเอาเงินนับสิบล้านมาบริจาคเข้าองค์กร ยอมเป็นผู้กระทำความรุนแรงต่อพ่อแม่หรือลูกในไส้ของตัวเอง แม้กระทั่งยอมฆ่าคน พวกเขาคาดหวังว่าพระเจ้าจะตอบรับในสิ่งที่พวกเขาอ้อนวอนขอเป็นการตอบแทนไง อยากไปสวรรค์ ไม่อยากมีบาปตกนรก

ลองเปรียบเทียบกับตัวเองตอนที่ชอบหรือคลั่งไคล้อะไรมาก ๆ ดูก็ได้ เรายังแทบจะทนไม่ได้เวลามีคนมาพูดจาให้ร้ายสิ่งที่เราชอบเลย เราไม่สนใจจะเอะใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เขาพูดมันเป็นการให้ร้ายหรือข้อเท็จจริง เราจะฟังแต่ในสิ่งที่เราอยากฟัง เชื่อแค่ในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่อเท่านั้น จนกว่าจะรู้สึกตัวเอะใจขึ้นมาเอง แล้วเช็กว่าสิ่งที่คนอื่นเตือนมันเป็นความจริงหรือเปล่า ดังนั้น ไม่แปลกเลยที่ความศรัทธาในอะไรสักอย่างที่เป็นถึงขั้นนับถือเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจจะน่ากลัวกว่าเยอะมาก การศรัทธาในเลเวลนั้นไม่มีทางที่จะเปิดตา เปิดหู เปิดใจรับฟังสิ่งที่คนอื่นพูดอยู่แล้ว ยังไม่รวมถึงความกลัวต่อบาป (ที่ถูกขู่ไว้แต่แรก) และกลัวว่าหากไม่ทำตามจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับตัวเองและคนรอบข้างด้วย
ในที่สุด ก็มีคนที่มีสติรู้ตัวเสียทีว่าตนเองนั้นไม่ใช่สาวกที่จงรักภักดีต่อลัทธิ แต่ตัวเองคือเหยื่อที่ถูกกระทำและได้รับความเสียหายในเรื่องต่าง ๆ เหยื่อต้องรู้ตัวได้เองจริง ๆ ว่าตัวเองเป็นเหยื่อ ถึงจะตาสว่างแบบเบิกเนตรได้ เป็นเรื่องที่กล้าหาญและน่าชื่นชมมากสำหรับเหยื่อที่รู้ตัวแล้ว และเลือกที่จะออกมาพูดแฉถึงความเลวร้ายที่ตัวเองเจอมา ไม่ยอมตกเป็นเหยื่ออยู่อย่างเงียบ ๆ เพื่อหวังว่าคนอื่น ๆ จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อ และพบกับช่วงเวลาที่เลวร้ายเหมือนตัวเอง

ในสารคดีชุดนี้มีเหยื่อของทั้ง 4 ลัทธิออกมาให้ข้อมูลเป็นจำนวนมาก หลายคนขอใช้นามสมมติและปิดบังใบหน้า แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่เปิดหน้าจริง ใช้ชื่อจริงออกมานั่งหน้ากล้องเล่าแฉทุกเหตุการณ์ที่ตนเองประสบมาแบบไม่เกรงกลัวอะไรเลย เชื่อว่าพวกเขาทราบดีว่าการเปิดหน้าท้าชนแบบนี้มันอันตรายทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง รวมถึงอาจถูกมองและใส่ร้ายในทางลบว่าออกมาแฉก็เท่ากับประจานตัวเองด้วย ประจานทั้งความโง่และอดีตที่น่ารังเกียจของตัวเอง คนที่มีความคิดจ้องจะเบลมและบูลลี่เหยื่อมีอยู่เยอะมากบนโลกนี้ นอกจากนี้ หลายคนถูกข่มขู่ไม่ให้ออกมาพูดในสารคดีชุดนี้ หลายคนเคยถูกดักทำร้ายเพื่อหวังให้กลัวจนไม่กล้าพูด หลายคนถูกตราหน้าจากคนที่ยังเชื่ออยู่ว่าทำลายพระเจ้า
แต่ถ้าไม่มีใครออกมาพูดหรือแฉความโสมมที่อยู่ภายใต้การเผยแผ่ศาสนาหรือลัทธิเหล่านี้เลย เรื่องชั่วร้ายเหล่านี้มันก็จะถูกฝังกลบเป็นความลับไปตลอดกาล เจ้าลัทธิพวกนั้นจะไม่ถูกเอาผิดทางกฎหมายทั้งที่ทำผิดหลายกระบุง เจ้าลัทธิพวกนั้นจะทำกับเหยื่อรายอื่นไปเรื่อย ๆ จนกว่าเจ้าลัทธินี่จะตายไปเองเพราะไม่ถูกลงโทษ จะมีเหยื่อที่ต้องตายทั้งเป็นแบบเงียบ ๆ ไปอีกไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร และลัทธิพวกนี้ก็จะยังเป็นที่น่าศรัทธาของคนรุ่นใหม่ ๆ ที่ไม่รู้เรื่องตราบนานเท่านาน เพราะไม่เคยมีใครรู้ด้านมืดที่แสนสกปรก เมื่อไม่มีใครพูดถึงมัน ลัทธิพวกนี้ก็จะเผยแผ่ได้สวย ๆ ตลอดไป
อย่างน้อยต้องมีใครสักคนหลั่งน้ำตาสำนึกผิด
ก่อนอื่น ขอบอกจากใจจริงเลยว่าความยาวซีรีส์เพียง 8 ตอน ที่นำเสนอเรื่องราวของ 4 ลัทธิที่เกิดขึ้นจริงนี้ ใช้เวลาดูนานถึง 6 วันกว่าจะจบ มันไม่มีความบันเทิงใด ๆ เลยที่สร้างความรู้สึกว่าอยากจะดูต่อ แต่มันเป็นความใคร่รู้แบบสงสัยมากกว่าว่าเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้มันจะไปจบอย่างไร ใครต้องรับผิดชอบบ้าง และโทษทัณฑ์ที่คนเหล่านี้สมควรได้รับจากการทำเรื่องเลวร้ายผิดมนุษย์มนานั้นมันสาสมหรือไม่ ความหดหู่ใจและสังเวชเวทนาต่างหากที่ทำให้ใครหลายคนต้องอดทนดูสารคดีนี้ต่อให้จบ ทุกสิ่งที่สารคดีนำเสนอ มันหนักหน่วงใจคนดูไม่น้อยเหมือนกัน

ตลอดระยะเวลา 6 วันกว่าจะดูสารคดีนี้จบ ในหัวมีแต่คำอุทาน อห!!! ที่ไม่ได้แปลว่า โอ้โห! นับครั้งไม่ถ้วน ดูจบหนึ่งตอนคือเหม่อไปเลย จิตตกหนักมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นคนชอบดูสารคดี และรู้ว่าตัวเองเป็นคนจิตแข็งในระดับหนึ่ง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์หดหู่จิตตกหลังจากที่ดูจบแต่ละตอน ไม่สามารถดูแบบไม่มีอารมณ์ร่วมได้เลย ฉะนั้น ขอเตือนไว้เลยว่ามันเป็นสารคดีที่ไม่ควรจะดูแบบยิงยาวต่อเนื่อง แค่วันละตอนก็เกินพอ พักทำอะไรอย่างอื่นที่มันบันเทิงจรรโลงใจเยอะ ๆ ถ้ารู้ว่าอารมณ์ตัวเองดิ่ง คนที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต อารมณ์อ่อนไหวง่าย จิตตกง่าย ขี้กลัว เป็นแพนิค ควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าอยากดูจริง ๆ ควรหาคนจิตแข็ง ๆ ดูเป็นเพื่อน อย่าดูคนเดียวเด็ดขาด
เรื่องราวสุดเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเหยื่อนับพันนับหมื่น โดยมีคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นพระเจ้าหรือผู้ที่พระเจ้าส่งมาเป็นผู้กระทำ มันแทบจะไม่น่าเชื่อเลยว่ามนุษย์ด้วยกันจะทำอะไรที่มันโหดเหี้ยมทารุณกันได้ถึงขนาดนี้มีเหยื่อที่เป็นผู้หญิงไม่มีทางสู้และเด็กตัวเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ที่น่าเศร้าก็คือหลายคนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นเหยื่อ ทั้งที่เจ้าลัทธิพวกนี้โดนพิพากษาลงโทษ ต้องติดคุก มีหลักฐานมากมาย คนที่หลงศรัทธาจนหมดหัวใจก็จะยังเชื่อ ปกป้อง และนับถือลัทธิเหล่านี้ต่อไป เชื่ออย่างไม่มีข้อกังขา ทำตามอย่างไม่มีข้อสงสัย ซ้ำร้ายยังเข้าใจว่าโทษที่ได้รับเหล่านั้นไม่ต่างจากตอนที่พระเยซูถูกตรึงด้วยไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษย์ เดี๋ยวนะ! แต่ละอย่างที่เจ้าลัทธิพวกนี้ทำ โอ๊ย!!!

แต่เชื่อไหมว่าหลังจากที่เจ้าลัทธิพวกนี้ถูกแฉ ถูกจับ ถูกลงโทษให้อยู่ในคุก พวกเขาไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดแต่ประการใด เหมือนจะไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ทำมันผิด โดนจับก็ปฏิเสธหัวชนฝาว่าไม่ได้ทำ ไม่เกี่ยวข้อง และไม่ใช่เจ้าลัทธิอะไรที่ไหนด้วย หลักฐานมัดตัวแค่ไหนก็ไม่จำนน ไม่สลด บ้างก็กล่าวหาเหยื่อกลับแบบหน้าด้าน ๆ เลยด้วย ติดคุกแล้ว กลับออกมาก็ทำแบบเดิมอีกก็มี พวกสาวกคลั่งที่อุทิศตัวเองเป็นสาวกเดนตาย ก็พยายามข่มขู่และทำร้ายเหยื่อเพื่อให้เหยื่อกลัวและปิดปากเงียบ มีลัทธิหนึ่งที่สถานีโทรทัศน์เคยพยายามแฉ ก็ถูกคนกลุ่มนี้บุกยึดสถานีโทรทัศน์เลยทีเดียว
ทุกชีวิตที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดทรมานกับอดีตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อ หรือสาวกที่เคยเป็นผู้กระทำ แต่ตาสว่างและกลับใจแล้ว และอีกหลายชีวิตที่สูญสิ้นไป ทั้งจากความศรัทธาที่เกินลิมิตและคนบริสุทธิ์ มันควรจะต้องมีใครสักคนที่หลั่งน้ำตาอย่างสำนึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ นะ แน่นอนว่ามันคงไม่อาจทำให้คนที่เจ็บปวดอยู่กับอดีตลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นและให้อภัยได้ หรือไม่ได้ทำให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นกลับมา แต่อย่างน้อยมันก็คงช่วยปลอบโยนจิตวิญญาณของพวกเขาได้บ้างจากการกล่าวโทษตัวเองว่าโง่งมงายไปเชื่ออะไรแบบนี้ได้อย่างไร พวกเขาอาจจะยังรู้สึกผิดที่ไปเชื่อสิ่งที่ไม่ค่อยน่าเชื่อ แต่อย่างน้อยมันก็มีคนผิดที่พยายามล่อลวงหลอกล่อให้พวกเขาเชื่อ
สารคดีจบลงที่ว่าคนส่วนหนึ่งยังคงเชื่อและรอคอยเจ้าลัทธิที่พวกเขาศรัทธาเสมอ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนที่หลอกลวงคนอื่นด้วยการสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นพระเจ้าแต่อย่างใด หากจะให้รีวิวสารคดีชุดนี้โดยรวม ก็ต้องบอกว่าเป็นสารคดีที่นำเสนอทั้งข้อเท็จจริง ประสบการณ์จริงของทั้งผู้คนที่เคยเป็นสมาชิกของลัทธิเหล่านั้น เหยื่อที่ถูกกระทำภายใต้ความเชื่อ มีการรวบรวมพยานหลักฐานจากฝั่งตำรวจ หรือผู้มีความที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด รวมถึงการเจาะลึกไปที่ภูมิหลังของผู้นำแต่ละลัทธิ พฤติกรรมที่เขาได้กระทำและการสร้างความเชื่อถือกับตนเอง ปรากฏการณ์แบบนี้อาจกำลังเกิดขึ้นอยู่ หรือจะเกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ ในอนาคต ถ้าคนยังรู้สึกสิ้นหวังต่อการดิ้นรนของตัวเองอยู่แบบนี้

นับเป็นสารคดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวจากเรื่องจริงโดยเฉพาะความเชื่อความศรัทธาในลัทธิศาสนาของผู้คนชาวเกาหลีใต้แบบตรงไปตรงมา มีการนำผู้คนที่เคยเป็นสมาชิกของลัทธิเหล่านั้นออกมาพูดเปิดโปงในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านร้าย แม้แต่การนำเหยื่อที่ถูกกระทำภายใต้ความเชื่อของลัทธิเหล่านั้นออกมาแสดงความคิดเห็นตามมุมมองและประสบการณ์ที่ได้พบเจอด้วย กระทั้งการรวบรวมพยานหลักฐานจากทางตำรวจ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แถมยังเจาะลึกไปถึงภูมิหลังของผู้นำแต่ละลัทธิ เบื้องหลังในสมัยที่ยังเป็นแค่คนธรรมดา ๆ มาจนถึงจุดเริ่มต้นการเข้าหาศาสนา และพฤติกรรมต่าง ๆ ที่พวกเขาใช้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง จนมีลัทธิและสาวกเป็นของตัวเอง
จะเห็นว่าสารคดีพยายามนำเสนอข้อมูลที่มีในหลากหลายมุมมอง แม้กระทั่งการนำเสนอตอนที่สื่อยื่นไมค์สัมภาษณ์และเข้าถึงตัวเจ้าลัทธิที่พยายามจะสู้คดี ปฏิเสธทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็หนีกฎหมายไม่รอดด้วย ดังนั้น เราจะได้เห็นเหตุการณ์นั้น ๆ อย่างค่อนข้างรอบด้าน เพื่อให้คนที่อาจจะเกิดไม่ทันเหตุการณ์ หรือคนต่างชาติต่างภาษาได้เรียนรู้ปรากฏการณ์ที่มันเคยเกิดขึ้นจริง ๆ ในสังคม โดยที่ไม่ได้ชี้นำและตัดสินแต่อย่างใด มันคือการมอบข้อมูลให้คนดูเอาไปตัดสินเอาเอง ว่าการมีศรัทธา มีความเชื่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบที่ขาดสติรู้ตัวไปเลยมันเป็นอย่างไร แล้วเราต้องทำอย่างไรถึงจะศรัทธาทุกอย่างได้ภายใต้ขอบเขตที่ใช้สติสัมปชัญญะ และปัญญาในการไตร่ตรองด้วยเสมอ 🤲