4 ไม่ได้ก็เอา 3

ความฝันของแฟน “หงส์แดง” ที่จะเห็นทีมรักกวาดสี่แชมป์เป็นประวัติศาสตร์ เหมือนเป็นการสั่งลาให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม มีอันต้องมลายหายไปสิ้น เมื่อพลาดท่าให้กับคู่รักคู่แค้นตลอดกาล แมนฯ ยูไนเต็ด 3-4 ตกรอบเอฟ.เอ คัพ รอบ 8 ทีมไปอย่างสุดมันส์

เกมนี้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนเลยว่า ลิเวอร์พูล 2.0 ทีมนี้ยังต้องเรียนรู้อะไรอะไรอีกมากมาย ทั้งเรื่องของความเฉียบขาดในการจบสกอร์ รวมทั้งความผิดพลาดส่วนบุคคลในจังหวะสำคัญ เช่นตอนที่ ดาร์วิน นูนเญซ จ่ายบอลเสียหน้ากรอบเขตโทษของตัวเอง จนเป็นเหตุให้ทีมโดนตีเสมอ 3-3

มีหลายจังหวะที่ลูกทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ น่าจะทิ้งห่างคู่ต่อสู้ไป แต่ดันทำไม่ได้เอง ก็เลยต้องถูกลงโทษ และตกรอบไปในที่สุด

มองในมุมดี สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะลดทอนภารกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล ให้เด็ก ๆ ของคล็อปป์ ได้มีสมาธิกับถ้วยพรีเมียร์ลีก และยูโรป้าลีกแบบเต็ม ๆ

ถ้าพวกเขาทำสำเร็จ บวกกับถ้วย คาราบาว คัพ ที่ได้ครอบครองแล้ว จะทำให้กวาดเทรเบิลแชมป์ไปครองอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ขี้เหร่เลยนะครับ

4 ไม่ได้ก็เอา 3 เดี๋ยวจะเข้าทำนอง “โลภมาก ลาภหาย”

ด้วยสภาพทีมที่ผู้เล่นเจ็บเยอะระดับ 10 คนขึ้นแบบนี้ เป้าหมายมิอาจเป็นความสำเร็จระดับมหึมาระดับนั้นได้

การลดภาระในถ้วยเอฟ.เอ.คัพ ไปแบบนี้ น่าจะช่วยให้ทีมประหยัดพลังงานและโอกาสเสี่ยงนักเตะเจ็บเพิ่ม ขนาดแมตช์เจอกับแมนฯ ยูไนเต็ด ผมยังเสียดายว่าส่งนักเตะตัวหลักลงเยอะเกินไป บอลถ้วยแบบนี้ คล็อปป์ ไม่กล้าให้ดาวรุ่งอย่าง เจเดน แดนส์ หรือ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ ลงไปสร้างความปั่นป่วนคู่ต่อสู้ตั้งแต่ต้นเกมเลย

ย้ำอีกครั้งว่าโทรฟี่สำคัญคือ พรีเมียร์ลีก ครับ เพราะยากสุด! ทีมจะเป็นแชมป์ได้นั้นต้องการความสม่ำเสมอและสภาพจิตใจต้องแข็งแกร่ง แถมปีนี้ขับเคี่ยวกันถึง 3 ทีม แต่ลิเวอร์พูลเข้าใกล้ขนาดนี้แล้วทำไม่ได้ มันจะน่าเสียดายอย่างที่สุด

นอกจากนั้นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 มีความสำคัญต่อพวกเขามาก เพราะนอกจากจะทำให้สโมสรได้เงินรางวัลมากมายแล้ว ยังหมายถึงการขยับสถิติครองแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษเทียบเท่ากับคู่ปรับอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด และมีโอกาสแซงต่อไปในอนาคต

ขณะที่การคว้าแชมป์ ยูโรป้า ลีก จะทำให้ คล็อปป์ กวาดทุกรางวัลระดับเมเจอร์กับทีมจากถิ่นแอนฟิลด์ ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก, เอฟ.เอ คัพ, ลีกคัพ, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ฟุตบอลสโมสรโลก, ยูโร ซูเปอร์คัพ ถือเป็นเกียรติประวัติอันน่าจะยากต่อการทำลาย เพราะกุนซือเยอรมันคุมทีมแค่ 9 ปี แต่กลับทำผลงานได้ถึงระดับนี้ น่าจะเป็นฉากอำลาที่ยิ่งใหญ่เลยครับ 

แต่ถ้าสุดท้าย คล็อปป์ ทำไม่สำเร็จ แมนฯ ซิตี้ ของเป๊ป ก็พร้อมจะขโมยซีนชิงเป็นสุดยอดทีมในฤดูกาลนี้ไปเหมือนกัน 

เพราะอย่าลืมว่า “เรือใบสีฟ้า” ยังมีลุ้นคั่วอยู่ถึง 3 ถ้วยเช่นเดียวกัน แถมศักดิ์ศรีใหญ่กว่าของลิเวอร์พูลด้วย นั่นก็คือโทรฟี่ พรีเมียร์ลีก, เอฟ.เอ คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

เพราะฟุตบอลเปลี่ยนแปลงบ่อย…เป๊ป กับ คล็อปป์ อาจจะต้องห้ำหั่นกันถึงวันสุดท้ายอีกครั้ง

เมื่อถึงวันนั้น ลองดูกันครับว่า ฉากจบของฤดูกาลนี้ใครจะได้เป็นฮีโร่ตัวจริงกันแน่?