โชว์ตัวเลขช่วงโควิด “หงส์แดง” เดินหน้าต่อ

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับแฟน “หงส์แดง” ที่สามารถคว้าถ้วยแรกในฤดูกาลนี้อย่าง “คาราวบาว คัพ” มาครองหลังดวลจุดโทษเฉือนเชลซีไปได้ แต่วันนี้เราจะมาโฟกัสประเด็นการเงิน หลังสโมสรลิเวอร์พูลได้ประกาศผลประกอบการในระหว่างเดือน มิ.ย. 2020 จนถึง พ.ค. 2021 แม้เป็นช่วงที่พวกเขากรุยทางจนเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 19 แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับโควิด19 แบบเต็ม ๆ ลองไปดูกันว่า ตัวเลขนั้นหนักหนาสาหัสกันขนาดไหน

เริ่มต้นจากรายได้จากวันแข่งขัน ซึ่งตกลงไปถึง 95 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากการต้องเล่นแบบไม่มีผู้ชมเป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้ตัวเลขจาก 70 เหลือแค่ 3 ล้านปอนด์ แต่ยังโชคดีที่สโมสรมีเม็ดเงินจากการถ่ายทอดสดเพิ่มขึ้นมาถึง 64.5 ล้านปอนด์ ทำให้ยอดตรงนี้พุ่งไปแตะที่ 266.1 ล้านปอนด์เลยทีเดียว แน่นอนอานิสงส์จากการเข้ารอบลึก ๆ ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ส่งผลเป็นอย่างมาก

ต่อมาเป็นเรื่องของยอดขายสินค้าที่ระลึก ซึ่งแม้จะขายได้น้อยลงในวันแข่งขัน แต่ยอดโดยรวมยังอุตส่าห์เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย 0.2 ล้านปอนด์ ทำให้ตัวเลขแตะที่ 217.6 ล้าน

เบ็ดเสร็จยอดรายได้รวมลดลงไป 3 ล้าน เหลือทั้งสิ้น 487 ล้านปอนด์ หักรายจ่ายต่าง ๆ รวมแล้วขาดทุนก่อนจ่ายภาษีที่ 4.8 ล้านปอนด์ 

ถือว่าผ่านมาได้แบบหืดขึ้นคอ โอเคล่ะ…กับสถานการณ์วิกฤติแบบนี้ โชคดีที่บรรดาสปอนเซอร์แม้เจอสถานการณ์โรคระบาดก็สู้ไม่ถอย เพิ่มเข้ามาใหม่ถึง 13 เจ้า อย่าง ไนกี้, เอ็กซ์พีเดีย, อแมซอน ฯลฯ โดยเฉพาะดีลซึ่งทำลายสถิติยอดสูงสุดของเสื้อแข่งโดยไนกี้ ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ที่เข้ามาถูกจังหวะพอดี

สิ่งที่น่ายินดีในสนามคือทีมยังพอเสริมทัพได้บ้างด้วยการดึงแข้งพรสวรรค์อย่าง ดิโอโก้ โชต้า และติอาโก้ อัลคันทาร่า เข้ามาได้ในช่วงนั้น รวมทั้งสิ้นแล้วเรามีนักเตะเข้ามาใหม่ถึง 12 รายในช่วงงบการเงินนี้ แม้จะโดนแฟน ๆ และสื่อมวลชนจับผิดว่าไม่ยอมเสริมทัพก้อนใหญ่

นอกจากนี้สโมสรยังสามารถต่อสัญญากับผู้เล่นสำคัญไปได้ถึง 12 คน อาทิ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, ฟาบินโญ่, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และฮาวี่ย์ เอลเลียต อีกด้วย

แอนดี้ ฮิวจ์ส ผู้อำนวยการทั่วไปของสโมสรกล่าวว่า “นี่เป็นตัวเลขซึ่งแสดงให้เห็นความยากลำบากในช่วงโควิดกระทบไปถึงธุรกิจทุกภาคส่วน เราพยายามทำงานกันอย่างหนักในช่วงหลังเพื่อจะทำให้ ลิเวอร์พูล มีสภาพการเงินที่ยอดเยี่ยมและมั่นคง แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะยอดรายได้เติบโตลำบากมาก”

“อย่างไรก็ดีจากการสนับสนุนของกลุ่มเจ้าของที่ลงทุนมาอีกมากกว่า 130 ล้านปอนด์ เพื่อปรับปรุงเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่าง เช่น สนามซ้อม และอคาเดมี่ใหม่ รวมทั้งการขยายอัฒจันทร์ด้านแอนฟิลด์โรด ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2023 อันจะทำให้สนามของเรามียอดความจุเพิ่มเป็น 61,000 ที่นั่ง”

“ทั้งนี้และทั้งนั้นสโมสรจะยังไม่หยุดลงทุนทั้งในและนอกสนาม เพื่อให้แข่งกับทีมระดับท็อปอื่น ๆ ได้ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์”   

“ผมหวังว่านี่คือช่วงสุดท้ายของสถานการณ์โรคระบาดแล้ว สิ่งสำคัญสุดคือความปลอดภัยของผู้คนต้องมาเป็นอันดับแรก ซึ่งจุดนี้เราทำงานกับชุมชนและแฟน ๆ ซึ่งอาศัยอยู่รอบสนาม รวมทั้งในเมืองลิเวอร์พูล ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี”

ตัวเลขทั้งหมดทั้งมวลเหล่านั้นคือสิ่งที่อาจจะตอบคำถามแฟนบอลหรือนักวิจารณ์ช่างสงสัยได้ว่า ที่ผ่านมาทำไมทีม “หงส์แดง” ถึงไม่สามารถซื้อนักเตะซูเปอร์สตาร์ราคาแพงได้แบบ แมนฯ ซิตี้ หรือแมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้อย่างถนัดมือนัก 

รอไว้ให้หมดโควิดและแอนฟิลด์สามารถรองรับคนดูได้มากขึ้นเพิ่มรายได้ให้สโมสร ถึงตรงนั้นทุกอย่างย่อมน่าจะดีขึ้นเป็นลำดับ 

เหล่า “เดอะ ค็อป” โปรดอดใจรอ.