ความเป็น-ความตาย กับภาระงานของ “ห้องฉุกเฉิน”

ผู้ป่วยที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาล ล้วนเป็นผู้ที่ต้องการให้ตัวเองหรือญาติของตัวเองพ้นจากอาการเจ็บป่วยทุกข์ทรมานกันทั้งนั้น จึงคิดว่า “ห้องฉุกเฉิน” คือที่ที่จะช่วยให้อาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บนี้ทุเลาลงไปเร็วที่สุด ทว่ากลับไม่เข้าใจ (หรือเข้าใจแต่ก็อยากหายป่วยเร็ว ๆ) ว่าห้องฉุกเฉินไม่ได้ทำงานแบบเรียงคิว ใครมาก่อนรักษาก่อน เพราะหลักการทำงานของห้องฉุกเฉินคือ รักษาและยื้อชีวิตผู้ป่วยที่เข้าขั้น “ใกล้ตาย” ก่อน ฉะนั้น ความเร่งด่วนที่ไม่เท่ากัน จึงต้องมีการคัดกรอง

นิยามและบทบาทของห้องฉุกเฉิน ที่ชื่อก็บอกแล้วว่า “ฉุกเฉิน”

ปัญหาใหญ่ของการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉิน คือการที่ผู้เข้ามารับบริการไม่เข้าใจหรือเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า “ฉุกเฉิน” คืออะไร เข้าใจอยู่แต่เพียงว่าการที่ตัวเองหรือคนที่ตัวเองรักเจ็บปวดทรมานอยู่ตรงหน้า มันย่อมฉุกเฉินเสมอ แต่หลักการของห้องฉุกเฉินคือทำงานตามความฉุกเฉินตามชื่อห้อง จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในห้องฉุกเฉินที่ต้องคัดแยกระดับความฉุกเฉิน รวมถึงสื่อสารกับญาติผู้ป่วย ว่าในทางการแพทย์ ลักษณะอาการแบบไหนที่ต้องรักษาทันทีและอาการไหนที่ยังพอจะรอได้

ระบบการทำงานของห้องฉุกเฉิน คือการทำงานตามสภาวะที่วิกฤติต่อชีวิต เกณฑ์ในการตัดสินว่าใครควรได้รับการรักษาก่อน-หลัง จะใช้ระบบการคัดกรองผู้ป่วย ว่าใครเร่งด่วน ใครไม่เร่งด่วน ใครฉุกเฉิน และใครเข้าขั้นวิกฤติ ถ้าเข้ามารักษาพร้อมกัน จะต้องรักษาคนที่วิกฤติก่อน โดยพยาบาลเป็นผู้ประเมินอาการผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการ ด้วยการซักประวัติ ดูสัญญาณชีพ ค่าความดัน หรือค่าความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด ซึ่งจะมีการคัดกรองเป็น 5 ระดับ

  • ระดับที่ 1 ฉุกเฉินวิกฤติ คือ บุคคลที่ได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการป่วยกะทันหันซึ่งมีภาวะคุกคามชีวิต จะต้องได้รับการรักษาทันที เช่น ไม่รู้สึกตัว หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ ระบบหายใจ ระบบลำเลียงเลือด ระบบประสาทไม่ทำงาน ชัก เลือดออกมาก ใช้สัญลักษณ์สีแดง
  • ระดับที่ 2 ฉุกเฉินเร่งด่วน คือ บุคคลที่ได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการป่วยภาวะเฉียบพลันรุนแรง จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ก่อนที่อาการจะรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อนขึ้น ที่อาจทำให้เสียชีวิตหรือพิการได้ เช่น หายใจเหนื่อยหอบ อ่อนแรง มีอาการอัมพาต จะตรวจรักษาภายใน 10 นาที ใช้สัญลักษณ์สีเหลือง
  • ระดับที่ 3 ฉุกเฉินไม่รุนแรง คือ บุคคลที่ได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการป่วยภาวะเฉียบพลันไม่รุนแรง อาจรอได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ไม่นานเกินไป เพราะอาการอาจรุนแรงขึ้นหรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกหักไม่มีเลือดออก ปวดท้อง ผื่นแพ้ขึ้นเฉียบพลัน ไข้สูงมาก จะตรวจรักษาภายใน 30 นาที ใช้สัญลักษณ์สีเขียว
  • ระดับที่ 4 เจ็บป่วยไม่ฉุกเฉิน หรือผู้ป่วยทั่วไป คือ บุคคลที่เจ็บป่วยแต่ไม่ใช่ผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่น อุบัติเหตุที่บาดเจ็บเล็กน้อย สิ่งแปลกปลอมเข้าตา จมูก คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย เสียเลือดเล็กน้อย ตรวจรักษาภายใน 1 ชั่วโมง ใช้สัญลักษณ์สีขาว
  • ระดับที่ 5 ผู้รับบริการสาธารณสุขอื่น เช่น เป็นหวัด ความดันโลหิดสูง ไอ เจ็บคอ แพทย์นัดฉีดยา ทำแผล จะตรวจรักษาภายใน 2 ชั่วโมง ใช้สัญลักษณ์สีดำ

แต่ก็มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยในห้องฉุกเฉิน ที่อาการเบื้องต้นไม่ได้เข้าข่ายฉุกเฉินจึงอาจจะต้องรอนาน แต่เพราะพยาบาลประเมินแล้วว่ายังพอจะรอได้ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในห้องฉุกเฉินจะต้องรักษาผู้ป่วยที่มีอาการอยู่แล้ว หลังจากจะจัดการกับผู้ป่วยที่เข้าขั้นวิกฤติแล้ว ถึงจะถึงคิวของตนเอง ฉุกเฉิน คือวิกฤติต่อชีวิต ที่เสี่ยงจะเสียชีวิตหากไม่ทำการรักษาในเวลานั้น

ในเมื่อห้องฉุกเฉินเป็นสถานที่สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินที่ต้องยื้อชีวิต เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องทำงานอย่างรวดเร็ว แม่นยำ เพื่อดึงชีวิตผู้ป่วยให้พ้นจากความตาย หากในห้องฉุกเฉินมีผู้ป่วยที่มีอาการทั่วไป (แล้วเข้าใจไปเองว่าฉุกเฉิน) นอกจากจะแออัดแล้ว เรื่องของเวลา แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ หรือยา ก็จะถูกดึงมาใช้กับผู้ป่วยทั่วไป ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ผู้ป่วยฉุกเฉินจริง ๆ

บุคลากรในห้องฉุกเฉินมีใครบ้าง แต่ละคนทำอะไร

การแพทย์ฉุกเฉิน อาศัยการทำงานกันเป็นทีม ตั้งแต่การรับเรื่องจากสายด่วน 1669 หรือการโทรสายตรงเข้ามายังโรงพยาบาล การทำงานของเจ้าหน้าที่ในห้องนี้ต้องทำงานร่วมกัน ประสานงานกัน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องหลัก ๆ มีดังนี้

แพทย์ฉุกเฉิน แพทย์ที่เป็นผู้ประเมินและปฏิบัติต่อผู้ป่วยที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน จากการเจ็บป่วยเฉียบพลัน อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บจากบาดแผล

ศัลยแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาผู้ป่วยหนักที่ได้รับบาดเจ็บที่คุกคามถึงชีวิต และต้องได้รับการผ่าตัด ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับอวัยวะหลายส่วน

นักเทคนิคการแพทย์ ผู้ที่เก็บและทดสอบตัวอย่างของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด ปัสสาวะ การรายงานผลของตัวอย่างที่เก็บตรวจอย่างทันท่วงทีมีความสำคัญต่อการรักษามากเช่นกัน

พยาบาลผู้ป่วยนอก พยาบาลที่ทำหน้าที่คัดกรองผู้ป่วยตามสภาพ ซักประวัติ และทำทะเบียนการรักษา

พยาบาล ปฏิบัติงานร่วมกับแพทย์

นักรังสีวิทยา วินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยด้วยเทคโนโลยีการถ่ายภาพ ได้รับใบอนุญาตให้ใช้รังสีเอกซ์อัลตราซาวนด์ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจแมมโมแกรม และการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็ก เพื่อประเมินผู้ป่วย

พนักงานห้องฉุกเฉิน การลำเลียงผู้ป่วย การส่งต่อผู้ป่วย จำเป็นต้องมีความรู้ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น แคล่วคล่องว่องไว จนกว่าผู้ป่วยจะถึงมือแพทย์

ปัญหาสุดท้าทายในห้องฉุกเฉิน

ไม่เพียงแต่ความเครียด ความกดดัน และบรรยากาศที่แสนจะหดหู่ในห้องฉุกเฉินเท่านั้นที่เป็นความท้าทายของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน แต่ปัจจัยอย่างผู้ป่วยที่คิดว่าตนเองฉุกเฉิน (แต่ยังสามารถลุกมาด่าคนทำงานได้) ญาติของผู้ป่วย ที่อาจนำไปสู่การทะเลาะวิวาทดังที่เป็นข่าวให้เห็นอยู่เนือง ๆ ทั้งยังรวมถึงความเข้าใจผิดต่าง ๆ ของญาติผู้ป่วยในการปฐมพยาบาล ที่อาจทำให้เจ้าหน้าที่เสียเวลาในการทำงาน และทำให้แพทย์และพยาบาลทำงานยากกว่าเดิม

ผู้ป่วยที่ยังได้สติดี และญาติผู้ป่วย ต่างคิดเสมอว่าการที่ตัดสินใจไปโรงพยาบาล แปลว่าฉันคือคนที่อาการหนักที่สุด เมื่อถึงโรงพยาบาลจำเป็นต้องได้รับการรักษาทันที คิดว่าความเจ็บปวดทรมานทนไม่ไหว คือความฉุกเฉินที่เร่งด่วน ซึ่งเวลาที่แพทย์หรือพยาบาลต้องออกมาอธิบาย สามารถพรากชีวิตของผู้ป่วยที่ใกล้ตายได้หากไม่รักษาเดี๋ยวนั้น นี่จึงเป็นความเป็นจริงที่ผู้ป่วยที่คิดว่าตัวเองฉุกเฉิน แต่ยังมีสติรู้ตัว (แต่ทำอะไรขาดสติ) ต้องเข้าใจการทำงานของแพทย์

แผนกฉุกเฉินไม่ได้รักษาผู้ป่วยก่อนหลังตามคิว ให้พูดตรง ๆ ก็คือ รักษาคนที่ “ใกล้ตาย” ก่อน ถ้าผู้ป่วยที่มีอยู่ต่างก็อาการไม่ได้เร่งด่วนหรือวิกฤติ ก็อาจเป็นการรักษาตามคิว แต่ถ้าคนมาทีหลังมีความเร่งด่วนกว่าคนแรก ก็ต้องรักษาคนคนนั้นก่อน วินิจฉัยด้วยความเชี่ยวชาญและรอบคอบ เพราะคัดกรองผิดพลาดว่าไม่ฉุกเฉิน ไม่เร่งด่วน ความสูญเสียหมายถึงชีวิตผู้ป่วย

เกิดเหตุฉุกเฉินเท่านั้นถึงจะโทร 1669

ข้อควรรู้ก่อนโทรแจ้งสายด่วน 1669 ต้องย้ำว่าเป็นสายด่วนที่ให้บริการเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ ซึ่งสายด่วน 1669 เป็นสายด่วนฉุกเฉินที่หลาย ๆ คนคุ้นเคย หากมีอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินสามารถโทรแจ้งได้ทันที หลักการทำงานของสายด่วน 1669 เมื่อประชาชนโทรเข้ามา เจ้าหน้าที่จะซักประวัติ เพื่อประเมินอาการว่าเข้าข่ายอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือไม่ ก่อนส่งทีมผู้ปฏิบัติการทางการแพทย์ฉุกเฉินเข้าช่วยเหลือ

เมื่อประเมินแล้วว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ ขั้นต่อไปก็จะส่งทีมไปรับผู้ป่วย และส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด เพราะหากส่งผู้ป่วยถึงมือแพทย์ช้าก็อาจนำไปสู่ความสูญเสีย เมื่อส่งผู้ป่วยฉุกเฉินถึงโรงพยาบาลแล้ว เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ที่จะทำการรักษาให้ผู้ป่วยพ้นวิกฤติ แล้วอาจพิจารณาส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่ผู้ป่วยมีสิทธิหรือมีประวัติในการรักษาต่อไป

ปกติแล้ว การประเมินภาวะฉุกเฉินของสายด่วน 1669 จะประเมินว่าผู้ป่วยฉุกเฉิน คือผู้อยู่ในสภาพ 6 อาการนี้

  1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ
  2. ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น มีอาการชักร่วม
  3. เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง
  4. หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัด มีเสียงดัง
  5. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัด แบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่องไม่หยุด
  6. อาการอื่นที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมองที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต

ดังนั้น ต้องเข้าใจว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่สายด่วน 1669 จำเป็นต้องซักประวัติอย่างละเอียด เพื่อประเมินอาการผู้ป่วยตามความเหมาะสม เพราะในบางกรณีไม่ใช่เหตุฉุกเฉินจริง ๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่อาจจะให้คำแนะนำอื่น ๆ หรือแนะนำวิธีการรักษาอื่น ๆ ต้องจำไว้ว่า สายด่วน 1669 คือสายด่วนแห่งชีวิต ผู้โทรแจ้งต้องมีเหตุฉุกเฉินจริง ๆ ห้ามโทรเล่น เพราะอาจเป็นการฆ่าผู้ป่วยฉุกเฉินรายอื่นทางอ้อม

ทุกชีวิตอยู่ในมือแพทย์ฉุกเฉิน

แพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่รักษา ดูแลผู้ป่วยให้พ้นขีดอันตราย ต่างมีภาระหน้าที่ที่กดดัน มักจะเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาคคิดเป็นประจำ และต้องแบกรับความเป็นความตายของหลาย ๆ ชีวิต จึงเป็นด่านหน้าในการช่วยเหลือผู้ป่วย ทุกวินาทีสามารถพรากชีวิตคนได้ พวกเขาจึงต้องทำงานแข่งกับเวลา แพทย์ฉุกเฉินจะเตรียมพร้อมกับทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยรุนแรง เพราะผู้ป่วยทุกคนที่ถูกประเมินแล้วว่าฉุกเฉินจริง ๆ ชีวิตก็อยู่ในกำมือแพทย์ ที่ในที่สุดสิ่งที่ตัดสินว่าแพทย์ทำงานสำเร็จหรือไม่ คือสามารถรั้งชีวิตผู้ป่วยไว้ได้หรือไม่

จิตวิญญาณคนเป็นแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลทุกคนล้วนต้องการช่วยชีวิตผู้ป่วย ทุกคนที่มาโรงพยาบาลก็เพราะอยากหายป่วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะแพทย์ฉุกเฉินที่ต้องทำงานรวดเร็วและแม่นยำ เพราะ “ไม่มีโอกาสให้ผิดพลาด” ทุกความผิดพลาดคือความเป็นความตาย ดังนั้น การช่วยเหลือให้ไวและการวินิจฉัยที่ถูกต้อง คือหัวใจสำคัญในการทำงานของเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉิน

แพทย์ต้องการรักษาผู้ป่วยทุกคน แต่ผู้ป่วยแต่ละคนมีความเร่งด่วนในการช่วยชีวิตไม่เท่ากัน ในเมื่อแพทย์ไม่สามารถรักษาพร้อมกันได้ ก็ต้องรักษาผู้ที่อันตรายที่สุดก่อน

ข้อมูลจาก Bangkok EMS, Hospital Jobs Online