มีประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาแล้วว่าปี 2563 นี้ ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา หลายพื้นที่ของประเทศก็ได้เริ่มสัมผัสอาการเย็น ๆ มาตั้งแต่ช่วงที่พายุเข้าแล้วฝนตกทั้งวันทุกวัน แต่จากนี้คือลมหนาวของจริง นั่นหมายความว่าอาการป่วยไข้กำลังจะมาเยือนอีกแล้ว ยิ่งหนาวนี้มี COVID-19 ด้วย ภูมิคุ้มกันของเด็กวัยกำลังโต ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีอาการป่วย หรือสุขภาพไม่แข็งแรง อาจจะทำงานไม่เต็มที่ ทำให้ป่วยได้ง่าย
อากาศจะหนาวมากหรือหนาวน้อย เป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้ แต่ที่ต้องรู้คือการระวังสุขภาพของตนเอง ซึ่งต้องระวังโรคเหล่านี้ในช่วงฤดูหนาว
โรคไข้หวัด
สำหรับ “ไข้หวัด” นั้น เป็นโรคที่สามารถพบได้ในทุกฤดูกาล แต่ในหน้าหนาว จะพบมากกว่าปกติถึง 2 เท่า หากคุณประมาท เพราะคิดว่าไข้หวัดเป็นไม่นานก็หาย แถมอาการก็ไม่หนักมาก ระวังจะเปลี่ยนจาก “ไข้หวัด” เป็น “ไข้หวัดใหญ่” ได้ง่าย ๆ
โดยอาการทั่วไปของไข้หวัด คือ มีอาการไอจาม คันคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล หนาวสั่น ปวดศีรษะ และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หากอาการไม่ดีขึ้น ภายใน 2-7 วัน และมีไข้สูง ควรรีบพบแพทย์ทันที
โรคไข้หวัดใหญ่
เป็นโรคที่มีอาการคล้ายกับโรคไข้หวัดธรรมดา แต่มีอาการรุนแรงกว่าถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ โดย “ไข้หวัดใหญ่” เกิดจากการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น ไข้ขึ้นสูง เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
โรคปอดบวม
คือ ภาวะปอดอักเสบ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา จนทำให้มีหนองและสารปนเปื้อนอย่างอื่นในถุงลม เป็นผลให้ร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถรับออกซิเจนได้ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน และอาการที่ว่าอาจทำให้เสียชีวิตได้
โดยโรคปอดบวมนั้น จะมีอาการโดยทั่วไป คือ ไอ มีเสมหะมาก เจ็บหน้าอก มีไข้สูง หรือหายใจหอบ ส่วนความรุนแรงของอาการนั้น ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ สภาพแวดล้อม และความรุนแรงของเชื้อโรคที่ได้รับ ที่ต้องระวังในปีนี้คือ COVID-19 ก็มีอาการใกล้เคียงกัน
โรคผิวหนังแห้งอักเสบ
สำหรับโรคผิวหนังแห้งอักเสบนั้น ไม่ใช่โรคที่เกิดจากการแพ้อาหารหรือสารเคมี แต่เกิดจากผิวหนังของผู้ป่วยที่มีความไวต่อสภาพแวดล้อมรอบตัวดีกว่าคนอื่น ยิ่งในช่วงอากาศหนาวที่ความชื้นในอากาศลดลง เป็นผลให้ผิวแห้ง คัน และลอก ดังนั้น ควรหมั่นเพิ่มความชื้นให้แก่ผิวหนัง ด้วยการทาครีมหรือทาน้ำมันบำรุงผิว ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื่นให้กับผิวหนังและร่างกาย
โรคหลอดลมอักเสบ
เป็นโรคที่เกิดจากการการอักเสบที่เยื่อบุหลอดลม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการน้ำมูกไหล จาม หายใจลำบาก เจ็บทรวงอก และมีเสมหะในหลอดลม ทั้งนี้ โรคหลอดลมอักเสบ สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง
โรคหัดเยอรมัน
สำหรับโรคหัดเยอรมันที่หลายคนอาจคุ้นชื่อนั้น เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหัดเยอรมัน ซึ่งอาการของผู้ป่วยไม่รุนแรงมาก เนื่องจากมีผู้ป่วยเกินครึ่งไม่รู้ตัวว่าตนเป็นโรคหัดเยอรมันอยู่ ขณะที่อาการของโรค คือ มีผื่นขึ้นช่วง 2 สัปดาห์หลังสัมผัสเชื้อโรค และอยู่นาน 3 วัน ก่อนจะหายไปไม่เกิน 2 สัปดาห์
วิธีดูแลตัวเองช่วงหน้าหนาว
1. เลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ เนื่องจากในผักผลไม้มีวิตามินและแร่ธาตุสูง ช่วยป้องกันไข้หวัดได้เป็นอย่างดี
2. การดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ที่สำคัญควรงดน้ำเย็น แล้วหันมาดื่มน้ำอุ่น ๆ หรือเครื่องดื่มอุ่น ๆ แทน
3. ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของคุณอีกด้วย
4. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด
5. ดูแลตัวเอง และพยายามลดความเสี่ยงที่จะป่วย ด้วยการปิดปากปิดจมูกด้วยหน้ากากอนามัยเมื่อต้องออกจากบ้าน เพราะในสังคมก็มีบางคนที่ไม่ป้องกัน เราต้องป้องกันเอง
6. หากป่วยเป็นไข้หวัด ควรปิดปากและจมูกด้วยหน้ากากอนามัย เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น
7. สวมใส่เสื้อผ้าหนา ๆ และหากอากาศหนาวมาก ก็ควรสวมหมวกไหมพรม เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย
8. ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-9 ชั่วโมง
ข้อมูลจาก สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล





























