ดูแต่เรื่องดาร์ก ๆ เดี๋ยวก็ฆ่ากันตาย เดี๋ยวก็โกงระดับอาชญากรรม ติดกันมาหลายสัปดาห์ คงจะมีคนสงสัยว่า ดูอะไรที่มันมุ้งมิ้ง ๆ น่ารักใส ๆ โรแมนติกคอมเมดี้บ้างไม่เป็นหรือไง? มาค่ะ จัดให้เลยค่ะ
ย้อนไปเมื่อ 19 ปีที่แล้ว แทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักซีรีส์เรื่องดังของไต้หวันอย่าง “รักใส ๆ หัวใจ 4 ดวง” หรอกมั้ง ซีรีส์ระดับตำนานที่ทำให้คนไทยหลายคนกลายเป็นคนบ้าซีรีส์ บ้าผมทรงสัปปะรด บ้าพระเอกร้าย ๆ แต่รักถวายหัว ถึงจะไม่เคยดู แต่เรามั่นใจเกิน 99 เปอร์เซ็นต์ว่าจะต้องเคยได้ยิน “ตำนาน F4” ผ่านหูมาบ้างแน่นอน (คนที่จำความได้แล้วในตอนนั้น ตอนนี้ไม่เด็กกันแล้วน้าา) และใช่ค่ะ เต้าหมิงซื่อเมื่อ 19 ปีก่อนกลับมาแล้ว “เจอร์รี่” กลับมาแล้ว
รักใส ๆ หัวใจ 4 ดวงในปี 2001 ถือเป็นซีรีส์ขึ้นหิ้งระดับตำนานที่คนติดซีรีส์ทั้งหลายต้องเคยดู ความโด่งดังในสมัยที่อินเทอร์เน็ตยังไม่เร็วปรู๊ดปร๊าดขนาดนี้ สมัยที่ซีรีส์เกาหลียังไม่บูม คนรู้จักแก๊ง F4 แห่งไต้หวันไปทั่วเอเชีย จนมีการนำมาสร้างใหม่เป็นเวอร์ชั่นอื่น ๆ ในหลายประเทศ เวอร์ชั่นล่าสุดที่เพิ่งจบไปก็แค่ประมาณ 2 ปีที่แล้วเอง เป็นของจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีแต่นักแสดงรุ่นใหม่หน้าใสกิ๊กกันทุกคน กลายเป็นว่าปังกันทุกคน โดยเฉพาะ “เฉินเย่ว” ซันไช่เวอร์ชั่น 2018
สิ่งที่หลายคนว้าวกับซีรีส์เรื่องที่จะมาชวนคุยในวันนี้ไม่ใช่เนื้อเรื่อง แต่เป็นพระเอกนางเอกของเรื่อง เพราะ “เต้าหมิงซื่อเวอร์ชั่น 2001” กับ “ซันไช่เวอร์ชั่น 2018” เขามาเจอกันค่ะ เขามาคู่กันในซีรีส์จีน Count Your Lucky Star ในปี 2020 นี้ค่ะ แม้ว่าทั้งคู่จะอายุห่างกันถึง 20 ปีเต็ม!
แน่นอนแหละ เฮียเจอร์รี่ในวัย 43 ปี ก็ต้องมีร่องรอยประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนอยู่แล้วแหละ ยิ่งมาเจอกับนางเอกที่อายุคราวลูกขนาดนี้ก็ยิ่งเห็นร่องรอยของเฮียแกชัดเจนขึ้นไปอีก แต่ต้องบอกเลยว่าต่อให้เฮียแกจะเก๋าเกมแค่ไหน เฮียแกยังหล่อมากอยู่ดี แถมหุ่นยังฟิตร่างกายยังแซ่บกว่าเดิมอีก กล้ามเนื้อมาเป็นลูก ๆ (อ่า ไปดูเอง) ที่เพิ่มเติมคือเป็นผู้ชายชอบใส่สูทสีแดง อีกอย่างด้วยฝีมือการแสดงของเฮียเจอร์รี่และเฉินเยว่ที่ถึงอายุจะต่างกันมาก แต่เคมีที่ออกมาก็ไม่ได้ทำให้ดูเหมือนพ่อลูกเลย
“Count Your Lucky Star” เป็นเรื่องราวของโชคชะตาที่ไม่เข้าใครออกใคร คนนึงมาพร้อมกับดวง แต้มบุญเต็มปรอท หยิบจับอะไรก็เฮง ประสบความสำเร็จกับทุกสิ่งได้ง่าย ๆ คนนับหน้าถือตา พูดง่าย ๆ ก็คือ มาพร้อมกับความโชคดี ตัดภาพไปที่อีกคนที่ตรงกันข้ามสุด ๆ แต้มบุญไม่มีสักขีด หยิบจับอะไรก็บ้งไปซะทุกเรื่อง อับโชคไปซะทุกอย่าง ไม่เคยได้อะไรมาแบบที่ไม่เหนื่อยบ้างเลย ก็คือมาพร้อมกับความซวยแบบไม่มีลิมิตนั่นแหละ
แต่แล้วเรื่องราวกลับพลิกจากบนลงล่าง กลับซ้ายเป็นขวา คนดวงเฮงกลายเป็นคนดวงซวย และคนดวงซวยกลายเป็นคนดวงเฮงซะงั้น เพราะอุบัติเหตุที่ทำให้พวกเขาเกิด “จูบ” กัน เอาจริง ๆ ก็แอบมองบนกับซีรีส์หรือละครแนวล้มแล้วดันไปจูจุ๊บกันนะ แต่การจูบครั้งนี้มันดันทำให้คน 2 คนสลับดวงกัน ความฟิน ความรัก ความฮาจึงบังเกิด
โชคชะตากำหนดชีวิต?
จริง ๆ เราเองก็ไม่ใช่คนที่จะว้าวอะไรมากมายกับสิ่งที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้หรอกนะ ยิ่งอะไรที่เป็นความเชื่อแบบเกินเบอร์ เกินความเมคเซนส์อย่างแรงก็จะมองว่างมงายด้วยซ้ำ แต่เราเชื่อในเรื่องโชคชะตานะ ค่อนข้างเชื่อเลยว่าทุกอย่างมันถูกกำหนดมาแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องของจังหวะต่าง ๆ ในชีวิต เรามีหน้าที่เดินตามแล้วทำให้มันสมบูรณ์ อะไรที่ยังไม่ถึงเวลาก็อาจจะเหนื่อยดิ้นรนหน่อย (ไม่หน่อยอะ//อย่างอิน) เมื่อถึงเวลาที่พอดีแล้วมันก็จะมาของมันเอง หรือการที่คนเรามักจะมีแรงดึงดูดคนที่ศีลเสมอกัน มีลักษณะบางอย่างคล้าย ๆ กัน หรือร่วมกันมาเจอกัน
จริงอยู่ที่ว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ว่ามีอยู่จริง แต่มันสัมผัสได้นะ เคยรู้สึกบ้างไหม ที่ถ้าการเริ่มต้นทำสิ่งแรกของวันแล้วมันออกมาดี วันนั้นก็จะดีไปทั้งวัน แต่ถ้าตรงกันข้าม ก็จะเป็นวันที่แย่ไปทั้งวันเหมือนกัน เพราะ “มันไม่ใช่วันของเรา” คนเราจึงให้ความสำคัญกับการเริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างไง
บางคนอาจจะเจอกับ “มันไม่ใช่วันของเรา” มาแทบทั้งชีวิต จนแอบคิดไม่ได้ว่า “มันจะมีวันของเราบ้างไหมหนอ” แต่อย่าเพิ่งใส่เกียร์ถอยแล้วกัน เมื่อคืนแอบเห็นข้อความในทวิตเตอร์แว่บ ๆ อ่านผ่าน ๆ เลยไม่ได้ดูว่าของใคร เขาบอกประมาณว่า “ถ้าพรุ่งนี้ไม่เห็นว่าดวงอาทิตย์ขึ้นค่อยสิ้นหวัง” จริงเลยนะ มันเป็นอะไรที่ทัชใจมาก ๆ ตราบใดที่เรายังลืมตามาเห็นดวงอาทิตย์ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ยังมีแสงสว่างอยู่เสมอ ในขณะที่ช่วงกลางคือ ตอนที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปจนมืดสนิทนั้น มันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง
ความฝันจะสำเร็จได้ต้องอาศัยโชค?
อันนี้ก็พูดยากจริง ๆ นะ บางคนไม่เห็นต้องดิ้นรนอะไรมากมายโชคก็หล่นทับเฉย แต่บางคนดิ้นให้ตายก็ยังไม่หลุดวงวารเดิม แต่ส่วนตัวเรา เราคิดว่าทุกอย่างมันมีจังหวะของมัน การอยู่ถูกที่ถูกเวลาไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อหรอกนะจริง ๆ การไปอยู่ผิดที่ผิดทางมันทำให้เราอึดอัดสุด ๆ ซึ่งถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็อย่าฝืนเลย ไม่ใช่ก็เปลี่ยน เพราะถ้าฝืนแล้วไม่สบายใจ มันก็คงไม่มีอารมณ์จะมาตั้งใจทำอะไรต่ออะไรหรอกจริงไหม ให้การเริ่มต้นใหม่จึงเกิดขึ้นเสมอดีกว่า
จำไว้แค่ว่า “วิธีการเดิม ๆ ก็จะได้แต่ผลลัพธ์เดิม ๆ ไม่มีทางให้ความสำเร็จ เพราะถ้าจะสำเร็จมันสำเร็จไปนานแล้ว ไม่ต้องลองหลายครั้ง เปลี่ยนสิเปลี่ยน เปลี่ยนวิธี เปลี่ยนทุกอย่างเป็นมุมใหม่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะต่างออกไป สำเร็จไหมค่อยว่ากัน”
ลองคิดย้อนกลับไปวันที่เราล้มเหลว วันที่เราแพ้ วันที่เราร้องไห้ดูสิ แล้วจะเห็นถึงความแตกต่าง เราจะรักตัวเองมากขึ้น เราจะชื่นชมตัวเองว่า “เราเองก็เก่งเหมือนกันนะ ที่ผ่านมันมาได้” ทั้งที่ในตอนนั้นเป็นเรื่องสาหัสมาก ความเจ็บปวดทั้งหลายจะทำให้เราโตขึ้น มีประสบการณ์ มีภูมิคุ้มกัน ดังนั้นแล้ว ถ้าเราพยายามจะเดินมาให้ถึงช่วงเวลาที่เหมาะเจาะของมัน สิ่งที่ฝันไว้ก็จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเอง
ความฝันในวัยเด็กของนางเอกคือ การได้เป็นดีไซเนอร์ นางกอดความฝันนั้นมาเป็นเวลา 10 ปี ใช้ความกะล่อนเข้าช่วยนิดหน่อยเพื่อสร้างโอกาส พาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่จะมีคนเห็นความสามารถ คือมันเหนื่อยแหละกับการพยายาม แต่ถ้าถึงจุดหนึ่งที่สิ่งที่เราทำนั้นสำเร็จ ก็คุ้มกับความเหนื่อยถูกไหม? เราจะเห็นว่างานชิ้นแรกที่เกิดขึ้นมาจากความพยายาม จากหยดเหงื่อ จากคราบน้ำตา มันคือความรักที่แท้จริง
ในบริษัทมีใครบ้างที่ไม่เคยโดนด่า
โอ้โห! เหมือนโดนแฟ้มรายงานงบประจำปีบริษัทฟาดหน้าอย่างแรง บางทีเราอาจจะรู้สึกไม่ดี ทำอะไรก็พลาด นั่นก็แย่ นี่ก็ผิด สุดท้ายโดนเจ้านายเรียกไปด่า แต่ถ้ามาคิดดูดี ๆ ก็จริงนะ ในการทำงานมันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ ถ้าจะเกิดความผิดพลาดขึ้นมามันก็ไม่แปลก พลาดมาก็โดนด่าเป็นเรื่องธรรมดา โดนมากโดนน้อยอันนี้อยู่ที่แต้มบุญ บุญมีก็โดนน้อยหน่อย บุญน้อยก็…นั่นแหละ
แต่อย่างนึงที่เรารู้สึกไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ คือ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป มันหมดยุคที่จะเคี่ยวเข็ญคนด้วยคำพูดและการกระทำแรง ๆ หรือด่าสร้างแรงบันดาลแล้วอะ พูดดี ๆ ก็ได้ฟังรู้เรื่อง การพูดบั่นทอนมันไม่ได้ทำให้คนอยากจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเอาชนะคำดูถูก แต่มันคือการกดดันให้คนเลือกที่จะไปอยู่ในที่ที่เขาสามารถเฉิดฉาย และได้ดีจริง ๆ มากกว่า ซึ่งบางครั้งก็ไม่ใช่เพราะไม่มีความอดทนหรอก แต่ใคร ๆ ก็อยากอยู่ในที่ที่ตัวเองสบายใจทั้งนั้นแหละ ทำให้อยากจะทำงานได้มากกว่า
สิ่งสำคัญที่ต้องทำเมื่อมีคนทำผิดพลาด ก็คือการอธิบายว่ามันผิดยังไง พลาดตรงไหนต่างหาก ให้เขารู้เป็นแนวทางว่าต่อไปจะต้องทำยังไง ต้องเรียนรู้อะไรและปรับปรุงอะไร ดูเป็นประโยชน์กับชีวิตมากกว่าการพ่นผรุสวาทใส่กันเสียอีก
พอ ๆ เลิกบ่น งั้นปิดท้ายที่การอวยผู้ชายตามธรรมเนียมละกัน ถึงเฮียเจอร์รี่จะอายุมากแล้ว แต่เฮียยังหล่อเหมือนเดิม ส่วนติ่งก็รักเหมือนเดิม อ้อ! พระรองเรื่องนี้หล่อ ละมุน และแสนดีมากนะ (ขออนุญาตเปิดวาร์ปขายผู้ชาย พระรองชื่อ Miles Wei/ Wei Zheming) พระเอกพระรองหล่อแข่งกันขนาดนี้ รับรองเลือกทีมไม่ถูกแน่นอน อยากเป็นนางเอก (โว้ยยย) ^_^