บทเรียนการจัดการกับ ‘คนวิกลจริต’ และการแจ้งความ

มีเรื่องให้เราต้องติดตามและระวังภัยกันทุกวัน ล่าสุดก็คือกรณีที่มีผู้ถูกด่าทอ ทำร้ายร่างกายแถวย่านรามคำแหง จากบุคคลที่คาดว่าน่าจะมีอาการป่วยทางจิตโดยไม่ได้รู้จักกันมาก่อน จึงได้ไปแจ้งความเอาผิด แต่ข้อมูลส่วนตัวของผู้แจ้งความเกิดหลุดไปอยู่ในมือของผู้ที่ทำร้ายร่างกาย จึงโดนตามรังควานไม่ว่าจะเป็นผ่านโทรศัพท์ Facebook แถมยังรู้ที่อยู่อีกด้วย

กรณีนี้ทำให้เราต้องมามองรอบตัวหลาย ๆ ข้อว่าปัญหามันเกิดจากตรงไหนบ้าง

อันดับแรก จากเหตุการณ์นี้คู่กรณีน่าจะเป็นคนที่มีอาการทางจิต หรือตามกฎหมายใช้คำว่า วิกลจริต นั่นทำให้คนเริ่มตามหาผู้ปกครอง ญาติ ผู้อนุบาล เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงว่ามีอาการจริงหรือไม่ หากเป็นผู้ป่วยจริงทำไมถึงไม่มีคนคอยดูแล และยังปล่อยให้ออกมาสร้างความเดือดร้อนทางร่างกายและทรัพย์สินของผู้อื่นได้อีก

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตราที่ 429 ระบุว่า

บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น

นั่นหมายความว่าหากเป็นบุคคลวิกลจริตจริง ผู้อนุบาล (ผู้ที่ดูแล) จำเป็นจะต้องรับผิดชอบและรับโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรืออาจเป็นไปได้ว่ายังไม่ถูกระบุว่าเป็นผู้ป่วยวิกลจริต ผู้ที่ถูกแจ้งความก็จะต้องรับผิดทั้งหมดเอง

ซึ่งหากเป็นดังข้อนี้จริงคงเป็นพวกเราเองที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังขึ้น เพราะเราไม่มีทางรู้ถึงสภาพจิตใจของคนที่เดินผ่านเราไปมาในทุกวันได้เลย หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับตัวเองก็ต้องตั้งสติและรวบรวมข้อมูลหลักฐานทุกอย่างที่จำได้เพื่อแจ้งความต่อตำรวจต่อไป และหากมีพยานที่สามารถยืนยันเหตุการณ์ได้ก็ให้พาไปด้วย

บุคคลวิกลจริต

ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 (มาตรา 28 ใหม่) นั้น มิได้หมายเฉพาะถึงบุคคลผู้มีจิตผิดปกติหรือตามที่เข้าใจกันทั่ว ๆ ไปว่าเป็นบ้าเท่านั้นไม่ แต่หมายรวมถึงบุคคลที่มีกิริยาอาการผิดปกติเพราะสติวิปลาส คือ ขาดความรำลึก ขาดความรู้สึก และขาดความรู้สึกผิดชอบด้วย เพราะบุคคลดังกล่าวนี้ไม่สามารประกอบกิจการงานของตนหรือประกอบกิจส่วนตัวของตนได้ทีเดียว

ข้อมูลจาก https://wichianlaw.blogspot.com/2017/05/blog-post_23.html

อีกประเด็นที่ต่อเนื่องกันคือ ข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายตกไปอยู่ในมือของคู่กรณีได้อย่างไร ?

เนื่องจากข้อมูลของผู้เสียหายที่หลุดไปเป็นข้อมูลส่วนตัว ทั้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ จึงได้โดนตามรังควานด่าทอทั้งทางโทรศัพท์ Facebook ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าข้อมูลหลุดมาจากไหนกันแน่ ?  จึงมีคนตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะหลุดมาจากทางตำรวจเอง เพราะการแจ้งความก็จำเป็นต้องให้ข้อมูลส่วนตัวแก่ตำรวจอยู่แล้ว หากเป็นความจริงขึ้นมาจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากทีเดียว จึงได้เกิดเสียงวิจารณ์หนาหูเกี่ยวกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่เรื่องนี้ยังคงต้องตามกันต่อไปเพราะยังไม่มีใครสามารถสรุปได้ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่

หรือเป็นอีกครั้งที่ต้องพึ่งพาสื่อและโซเชียลมีเดียเพื่อให้เรื่องดำเนินไปได้ ?

เพราะประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ดังมาจากในทวิตเตอร์ และมีคนรีทวิตไปถึง 70,000 ครั้ง ทำให้เริ่มมีการแสดงความคิดเห็น มีผู้ที่เคยประสบเหตุการณ์แบบนี้ซึ่งน่าจะมาจากคนเดียวกัน เพียงแต่เป็นทางวาจาเท่านั้น ไม่ได้โดนทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด คนเริ่มแปะกระทู้จากพันทิปที่คาดว่าน่าจะเป็นคนคนเดียวกันเป็นผู้ก่อเหตุ ถึงได้มีรายการข่าวจากช่องต่าง ๆ นำไปทำข่าวอีกทีหนึ่ง

อาจจะเป็นอีกครั้งก็ได้ที่เราต้องหวังพึ่งกระแสสังคมช่วยผลักดันให้คดีแบบนี้คืบหน้าไปได้ และจัดการกับคนที่อาจเป็นอันตรายกับคนทั่วไปได้ต่อไป

ยังไงก็ต้องให้กำลังใจกับทุกฝ่าย ทั้งผู้ได้รับความเสียหาย เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้อง และบุคคลทั่วไปที่จำเป็นต้องระแวดระวังมากขึ้นในการใช้ชีวิตทุกวันนี้