เที่ยวฮ็อกไกโดตอนที่แล้วผมเขียนถึง “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” แต่คราวนี้จะเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นจากการทำของหายต่างแดนไว้เป็นบทเรียนในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หากใครต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้
เหตุเกิดจะความสะเพร่าของตัวเองครับ เพราะโดยปกติผมจะเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋าสะพายเล็กๆตลอด ไม่นำมาใส่กระเป๋ากางเกง กันลืมอยู่แล้ว แต่วันนั้นระหว่างนั่งรถไฟจากโอตารุกลับมาซัปโปโระ ไม่ทราบว่านึกอีท่าไหน หยิบโทรศัพท์มาดูรูปแล้วไม่ได้เก็บใส่กระเป๋าสะพาย น่าจะยัดใส่กระเป๋ากางเกงและลื่นหล่นระหว่างนั่งอยู่บนเบาะรถ
ปรากฏว่าพอลงจากรถไฟที่สถานี JR ซัปโปโระ จะเข้าห้องน้ำ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองได้พลาดท่าทำโทรศัพท์มือถือหายเข้าเสียแล้ว!!
เป็นใครก็ต้องตกใจ เพราะว่าถ้าหาไม่เจอ นอกจากจะต้องสูญเสียทรัพย์ซื้อเครื่องใหม่แล้ว สิ่งต่างๆที่อยู่ในนั้นสำคัญกว่า อาจต้องยุ่งยากเสียเวลามากในการอายัดและตามข้อมูลต่างๆกลับคืนมา
เล่าแล้วก็อดเซ็งในความสะเหร่อแป๊ะและซุ่มซ่ามของตัวเองไม่ได้ แต่เวลานั้นพยายามเรียกสติกลับคืนมาให้รวดเร็วที่สุดเพื่อแก้ปัญหา มีทางเป็นไปได้มั้ยว่าเราจะตามมามือถือของเรากลับมาให้ได้ แม้คิดแล้วจะมืดมนเพราะรถไฟของญี่ปุ่นนั้นวิ่งกันทุกๆ 15 นาทีก็ว่าได้ วันหนึ่งมีไม่รู้กี่สิบขบวน ใครเก็บได้ก็คงหาตัวลำบากและคงไม่คิดจะคืน
สุดท้ายตัดสินใจเดินแบกความหวังอันน้อยนิด ไปที่ Lost & Found ของสถานี JR ซัปโปโระ เจ้าหน้าที่ได้สอบถามถึงขบวนรถและตำแหน่งที่เรานั่งมา รวมทั้งถามถึงรายละเอียดของโทรศัพท์ อาทิ สี รุ่น ยี่ห้อ เสร็จแล้วไปตรวจสอบข้อมูล บอกว่าตอนนี้ยังไม่มีใครแจ้งอะไรมา แต่รถไฟขบวนดังกล่าวกำลังมุ่งหน้าไปแอร์พอร์ต นิว ชิโตเสะ ถ้ามีเบาะแสอะไรเพิ่มเติม หรือมีใครแจ้งอะไรเข้ามา ให้เรากลับมาเช็คอีกครั้งในอีกสัก 1-2 ชั่วโมง
ระหว่างการสนทนาเขาจะมีสต๊าฟฟ์ที่พูดภาษาอังกฤษได้เข้ามาช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ต้องการข้อมูลหรือประสบปัญหาตามสถานีใหญ่ๆ ด้วย เพราะว่าเจ้าหน้าที่ ณ สถานีไม่ได้สื่อสารอังกฤษกันทุกคน
ระหว่างนั้นผมเริ่มมีสตินึกขึ้นได้ก็ลองใช้โทรศัพท์เพื่อนร่วมทริปโทรให้น้องจากเมืองไทย ระดมโทรเข้าเครื่องที่หายดู ปรากฏว่าเริ่มมีสัญญาณที่ดีคือเครื่องไม่ได้ปิด แต่ยังไม่มีคนรับ
เจ้าหน้าที่เสนอว่าถ้ารถไฟขบวนนี้ตีกลับมาที่สถานีนี้คุณจะลองขึ้นไปเช็ครึเปล่าเผื่อของตกอยู่ เราพาขึ้นไปดูได้ ผมก็เลยบอกว่าเอาสิ นึกในใจว่าดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ถึงตอนนี้นึกถึงการเล่นใหญ่ไปแจ้งความตำรวจไว้ก่อน เผื่อคนเก็บได้เอามือถือไปทำธุรกรรมอะไรมิดีมิร้าย เรียกว่าเริ่มฟุ้งซ่านแล้วว่าจะต้องอายัดอะไรบ้าง
รวบรวมสติพยายามติดต่อกลับน้องที่เมืองไทยก่อนว่าเป็นอย่างไร ในเวลาไม่นานเหมือนคุณพระมาโปรด น้องที่เมืองไทยบอกว่าปลายสายรับแล้วหลังจากโทรไปสิบกว่าครั้ง โชคดีที่ผมเปิดเครื่องและโรมมิ่งเอาไว้ด้วยนะ
น้องแจ้งข่าวดีว่าพูดกับปลายสายไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่จับใจความได้ว่าเป็นคนญี่ปุ่นเก็บมือถือของเราได้ ให้ตามไปเอาที่สถานีแอร์พอร์ตภายในเวลา 1 ชั่วโมง จะเอาเครื่องไปฝากไว้ที่เคาน์เตอร์เจอาร์บูทแรกที่ขึ้นจากรถไฟเลย
ปาฏิหาริย์มีจริง!! ใจผมที่ห่อเหี่ยวพลันสดชื่นขึ้นมาทันที ที่นี่ประเทศญี่ปุ่น คนดีอย่างนี้ก็มีด้วยโว้ย ไม่เหมือนบางประเทศเคยได้ยินข่าวว่าคนทำมือถือหาย โทรไปปลายสายรับแล้วบอกว่ากรูไม่คืน หรือถ้าจะเอาต้องจ่ายเงิน
มิพักชักช้าผมรีบจับรถไฟไปที่สถานีแอร์พอร์ต นิวชิโตเสะ ทันที ปรากฏว่าพอไปถึงมีคนฝากเครื่องกับเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ที่เคาน์เตอร์แรกจริงๆเสียด้วย เจ้าหน้าที่ถามรายละเอียดเล็กน้อยพอตรงกันก็คืนโทรศัพท์ให้ สุดยอดแห่งความฟลุ้คจริงๆ เสียดายไม่ได้เจอหน้าคนเก็บได้ อยากจะขอบคุณเขาอย่างจริงๆจัง แต่ไม่อยู่ให้เห็นเสียแล้ว
ใจยังคิดว่าถ้ากรูทำหายประเทศอื่น ป่านนี้จะเป็นอย่างไร นั่นคือเรื่องตื่นเต้นในทริปนี้ของผม โชคดีที่มันจบลงด้วยดี ใครกันที่บอกว่าการเดินทางคือประสบการณ์ของชีวิต ผมเริ่มรู้ซึ้งแล้วหล่ะ555.