“ได้คุ้มเสีย” ยอดตายลด หลังใช้ม.44 บังคับกม.จราจร

ภาพจาก จส.100

ถือเป็นธรรมเนียมประจำในทุกปีที่ช่วงเทศกาลหยุดยาวของคนไทยจะมีการสรุปสถิติเกี่ยวกับอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมถึงยอดผู้เสียชีวิตและยอดผู้ได้รับบาดเจ็บที่เกิดขึ้น ซึ่งในปีนี้ เทศกาล “สงกรานต์” ที่ได้หยุดยาวกัน 5 วัน มีการสรุปสถิติออกมาแล้วเช่นกัน

โดยเป็นที่น่ายินดีว่า ยอดผู้เสียชีวิตในปีนี้ เมื่อเทียบกับสงกรานต์ ปี 2559 พบว่ามีจำนวนลดลงเกือบร้อยละ 20 ซึ่ง พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมระบุว่า เกิดจากความร่วมมือของประชาชนทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันตระหนักและให้ความสำคัญในการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมถึงมาตรการต่างๆที่รัฐบาลมีขึ้น เพื่อลดการบาดเจ็บและสูญเสียของประชาชน

ทั้งนี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 บังคับใช้กฎหมายว่าด้วยพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ให้เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะการคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง สำหรับรถส่วนบุคคลและรถแท็กซี่โดยสารที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 สำหรับรถตู้โดยสารและรถตู้โดยสารสาธารณะที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ซึ่งคำสั่งดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ใช้รถใช้ถนนตื่นตัวมากขึ้น แม้ว่ายอดอุบัติเหตุจะสูงขึ้นกว่าปีก่อน แต่การคาดเข็มขัดนิรภัยสามารถช่วยลดการสูญเสียชีวิตลงได้อย่างน่าพอใจ

อย่างไรก็ตาม จากการผ่อนปรนเรื่องการห้ามนั่งกระบะท้าย และแคบกระบะในช่วงสงกรานต์ หลังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากคนส่วนใหญ่จำเป็นต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาด้วยรถกระบะ ก็ส่งผลให้สงกรานต์นี้ ยังคงมียอดผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่มีผู้โดยสารนั่งท้ายกระบะและแคบกระบะให้เห็นกันอยู่ ซึ่งผู้เสียชีวิตล้วนนั่งอยู่ท้ายกระบะทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ยอดอุบัติเหตุทางถนน ระหว่างวันที่ 11-16 เมษายน พบว่า เกิดอุบัติเหตุรวม 3,388 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 335 ราย บาดเจ็บ 3,506 คน ซึ่งสาเหตุอันดับ 1 ของอุบัติเหตุเกิดจากขับรถเร็วเกินกำหนด โดยจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด และมีเพียง 7 จังหวัดเท่านั้นที่ไม่มีผู้เสียชีวิต คือ กระบี่ นราธิวาส พังงา ภูเก็ต แม่ฮ่องสอน สมุทรสงคราม และอำนาจเจริญ