ค่ำวันนี้ เชื่อว่าแฟนบอลไทยทุกคนจะส่งกำลังใจไปช่วยเชียร์ทีม “ช้างศึก” ลงสนามนัดที่ 2 ในศึกเอเชียนคัพ พบกับบาห์เรน ภายใต้กุนซือขัดตาทัพ ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย
ย้อนกลับไปถึงต้นเหตุที่ทำให้ไทยเราต้องปลดโค้ชกลางอากาศคือการแพ้อินเดีย 1-4 ในการลงสนามนัดแรก
“Cricket-mad India shock Thailand at Asian Cup football tournament” คือ พาดหัวของ arabianbusiness สื่อของเจ้าภาพยูเออี
พาดหัวนี้ เป็นการตบหน้าทั้งแฟนบอลและนักฟุตบอลไทยแแบบเต็ม ๆ เพราะเป็นการตอกย้ำว่า ประเทศที่คลั่งไคล้คริกเกตอย่างอินเดียเอาชนะไทยได้ในกีฬาฟุตบอล
แต่หากเราดูจากอันดับโลกฟีฟ่าล่าสุด อินเดีย รั้งอันดับ 97 ของโลก และ 15 ของเอเชีย ส่วนไทยเราอยู่อันดับ 118 ของโลก และเป็นที่ 22 ในเอเชีย นั่นหมายความว่า อันดับโลกเราเป็นรอง
จริงอยู่ครับ อันดับโลกของฟีฟ่าไม่ได้เป็นคำตอบเสมอไปว่า ทีมไหนเก่งกว่ากัน มันเป็นเพียงตัวชี้วัดแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ผลงานในสนามต่างหาก คือ เครื่องพิสูจน์
ไล่ดูบทสัมภาษณ์ของนักเตะไทยเรา ตั้งแต่ช่วงซูซูกิคัพ มาจนถึงเกมกับอินเดีย หลายคนย้ำว่า จะไม่ประมาท ! นั่นหมายความว่า เรามั่นใจกันแล้วว่า เราเหนือกว่าคู่แข่ง เพราะมันคือคำพูดของคนที่เป็นต่อ ในการต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ทีไม่ลำบากมากนัก
เกมกับอินเดีย ส่วนหนึ่งเราอาจจะประมาทจนพ่ายแพ้ หรือไม่ก็เป็นเหตุผลด้านแท็กติกของราเยวัช ที่โค้ชคีย์บอร์ดด่ากันระงมหลังจบเกม หรืออีกเหตุผลหนึ่ง คือ เราไม่ได้ประมาท แต่เราแพ้จริง ๆ !
ผมในฐานะแฟนบอลไทยคนหนึ่ง ที่เข้าสนามชียร์บอลไทยตั้งแต่ยุค เนติพงษ์ ยิงประตูพากสิกรไทยคว้าแชมป์ถ้วยพระราชทาน ก. ถึงถิ่นทหารอากาศ มาจนถึงยุคไทยลีกมีตลกตอนพักครึ่ง มองไปทางเหตุผลหลังมากกว่า
ว่าแล้วก็อยากรู้เหมือนกันว่า นอกจากกระแสปลดโค้ช ปลดนายกสมาคมฯ แล้ว จริง ๆ แล้วแฟนบอลไทยมองว่า บอลไทยเราอยู่ระดับไหนกันบ้าง
ปลายปีที่แล้ว คริสเตียน วิเอรี่ อดีตกองหน้าขวัญใจของผมคนหนึ่งออกมาให้สัมภาษณ์ว่า นักบอลยุคนี้ให้เวลากับการคิดข้อความ และโพสต์รูปลงไอจีมากเกินไป จนลืมไปว่า หน้าที่ของตัวเอง คือ การเล่นฟุตบอลและพัฒนาตัวเอง
ช่างเป็นคำพูดที่สะท้อนแนวทางการใช้ชีวิตในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี ไม่เฉพาะแค่เรื่องฟุตบอล แต่อีกใจหนึ่ง ผมเองนี่อยากจะเถียงกลับเสียจริง ๆ ก็ยุคน้ามันไม่มีไอจีนี่ครับ (ฮา ๆ)