
ภาพจาก pixabay
“เรารู้ว่าถ้าเด็กๆ ได้เติบโตขึ้นมาในโลกที่มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น โลกใบนี้ก็จะดีขึ้น เปิดกว้างมากขึ้น รุ่งเรืองมากขึ้น และสงบสุขมากขึ้น”
คำกล่าวนี้เป็นของ ชุสแต็ง ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา เมื่อครั้งไปร่วมงานครบรอบ 2 ปีของโครงการ HeForShe ซึ่งจัดโดยองค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ และเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN Women) เพื่อรณรงค์ให้ผู้ชายมีส่วนร่วมในการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและบทบาทของสตรี
ชุสแต็ง ทรูโด ในวัย 46 ปี เป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่ทั่วโลกให้การจับตามองนับตั้งแต่เขาได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของแคนาดา เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2015 เพราะมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศ และเป็นผู้นำที่เปิดกว้างในเรื่องความหลากหลายทางเพศ ทำให้เขาได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกอย่างมากจากคนรุ่นใหม่ ไม่เพียงเฉพาะบุคลิกหน้าตาที่โดนใจเท่านั้น
ทรูโดถือเป็นผู้นำที่เดินตามรอยผู้เป็นพ่ออย่างแท้จริง เนื่องจาก ปิแอร์ ทรูโด บิดาของเขาเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 15 ของแคนาดามาก่อน โดยเมื่อครั้งที่กล่าวคำสรรเสริญบิดาในพิธีฝังศพ เมื่อปี 2000 เขาได้รับความสนใจจากสื่อเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม กว่าทรูโดจะเข้าสู่แวดวงการเมืองก็ให้หลังจากที่บิดาเสียชีวิตไปแล้ว 8 ปี โดยก่อนหน้านั้นเขามีอาชีพเป็นครูที่แวนคูเวอร์ หลังจบการศึกษาปริญญาตรีสาขาวรรณคดีภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยแม็คกิล และครุศาสตร์บันฑิตจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย จากนั้นศึกษาต่อด้านปริญญาโทสาขาภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่มหาวิทยาลัยแม็คกิล และใช้ชื่อเสียงของตนเองในการสนับสนุนอุดมการณ์ต่างๆ รวมถึงเคยแสดงมินิซีรีส์เรื่อง The Great War ทางโทรทัศน์ในปี 2007 ด้วย
หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 ทรูโดสร้างความฮือฮาจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ด้วยการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่มีจำนวนชายหญิงในสัดส่วนที่เท่ากัน 15-15 คนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของแคนาดา โดยให้เหตุผลสั้นๆ ว่า “เพราะนี่มันคือปี 2015 แล้ว”
นอกจากนี้ เขายังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยการเป็นนายกรัฐมนตรีแคนาดาคนแรกที่ร่วมเดินขบวนพาเหรด “เกย์ ไพรด์” ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศด้วย หลังจากเคยร่วมขบวนพาเหรดดังกล่าวในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีนิยมมาแล้ว
รวมถึงเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องการไม่ระบุเพศในบัตรประชาชนด้วย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งไม่เคยมีผู้นำประเทศไหนเปิดกว้างเท่านี้มาก่อน นั่นจึงทำให้เขาได้ใจคนรุ่นใหม่ไปเต็มๆ