บัตรเครดิต VS บัตรเดบิต เหมือนหรือต่างกันยังไง ?

ใครที่กำลังสงสัยว่า “บัตรเครดิต” กับ “บัตรเดบิต” เหมือนหรือแตกต่างกัน และมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร วันนี้ Tonkit360 ขออาสาพาไปไขข้อข้องใจเรื่องนี้กัน

ทำความรู้จัก บัตรเครดิต vs บัตรเดบิต

บัตรเครดิต

เป็นสินเชื่อบุคคลธรรมดาที่ธนาคารออกให้ พร้อมกำหนด “วงเงิน” ให้คุณไว้ใช้จ่าย อาทิ บัตรเครดิตของคุณมีวงเงิน 50,000 บาท เท่ากับว่า คุณสามารถรูดชำระค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ได้ตามวงเงินดังกล่าว เพียงแต่เมื่อถึงเวลาชำระเงินคืน หากคุณเลือกจ่ายคืนแบบยอดขั้นต่ำ ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วยนะ หรืออาจพูดกันง่าย ๆ ว่า ธนาคารให้คุณนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน เมื่อครบ 30 วัน จึงให้คุณจ่ายคืนธนาคารนั่นเอง

บัตรเดบิต

คือ การใช้จ่ายเงินผ่านบัตรโดยไม่ต้องใช้เงินสด แต่บัตรดังกล่าวต้องเป็นบัตรที่ผูกกับบัญชีธนาคารของคุณเอง ดังนั้น เมื่อมีการชำระค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ผ่านบัตร บัตรเดบิตจะทำการตัดเงินในบัญชีธนาคารของคุณทันที

และด้วยความที่ตัดเงินจากบัญชีของคุณโดยตรง การใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจึงทำให้ไม่มีการคิดดอกเบี้ย เนื่องจากไม่ใช่การกู้ยืมเงินแบบบัตรเครดิต

เกณฑ์การสมัครบัตร เหมือนหรือแตกต่าง

บัตรเครดิต

ในส่วนของการสมัครบัตรเครดิตนั้น มีเกณฑ์การสมัคร ดังนี้

(1) ผู้สมัครต้องมีรายได้ประจำ ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน และมีอายุงานตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป หากเป็นเจ้าของกิจการ ต้องมีรายได้หมุนเวียนภายในบริษัท เดือนละ 100,000 บาทขึ้นไป และดำเนินกิจการมาไม่ต่ำกว่า 1 ปี หรือตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด

(2) ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ให้ใช้วิธีการค้ำประกันเงินฝาก โดยผู้สมัครต้องมีเงินหมุนเวียนในบัญชีเงินฝากกับธนาคารที่ต้องการสมัครบัตรเครดิต เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป

บัตรเดบิต

สำหรับบัตรเดบิตนั้น เพียงผู้สมัครมีบัญชีเงินฝากแบบออมทรัพย์หรือกระแสรายวันกับธนาคาร ก็สามารถยื่นบัตรประชาชนและสมุดบัญชีกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร แค่นี้ก็สามารถสมัครบัตรเดบิตได้แล้ว

สามารถใช้ซื้อของที่ไหนได้บ้าง

บัตรเครดิตและบัตรเดบิต สามารถใช้ซื้อของตามร้านค้าทั่วไป ซื้อของออนไลน์ หรือจองที่พักตามเว็บไซต์ได้ แต่ในส่วนของการซื้อตั๋วเครื่องบินนั้น หากคุณต้องการจ่ายผ่าน “บัตรเดบิต” ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงแต่อาจใช้ได้เป็นบางธนาคารและบางสายการบินเท่านั้น

ใช้ถอนเงินที่ตู้ ATM ได้หรือไม่

สามารถใช้ถอนเงินจากตู้ ATM ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการถอนเงินในประเทศหรือต่างประเทศ เพียงแต่คุณต้องดูสัญลักษณ์ที่ตู้ ATM ก่อนว่า ตรงตามบัตรที่คุณถือหรือไม่

มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแบบใดบ้าง

โดยปกติค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น มี 2 แบบ คือ ค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งการเรียกเก็บก็แตกต่างกันออกไป ตามแต่เงื่อนไขของบัตรหรือธนาคาร

บัตรเครดิต

บางธนาคารอาจ “ไม่ฟรี” ทั้งค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี หรืออาจจะฟรีแบบมีเงื่อนไข อาทิ ยกเว้นค่าธรรมเนียม โดยมีเงื่อนไขในการใช้จ่ายผ่านบัตรให้ครบตามจำนวนเงินที่กำหนดต่อปี

บัตรเดบิต

เรื่องค่าธรรมเนียมนั้น ในส่วนของบัตรเดบิตมีการเรียกเก็บทั้ง 2 ส่วน คือ มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า ประมาณ 100 บาท แต่ไม่เกิน 1,000 บาท ขณะที่ค่าธรรมเนียมแบบรายปีนั้น ทางธนาคารเจ้าของบัตรจะเรียกเก็บด้วยการหักจากบัญชีที่ผูกกับบัตรเดบิต ซึ่งหากไม่จ่ายค่าธรรมเนียมรายปี จะไม่สามารถใช้งานบัตรเดบิตได้

ถ้าอยากเพิ่มวงเงินในบัตร ต้องทำอย่างไร

สำหรับ “บัตรเดบิต” วงเงินในบัตรของคุณจะเพิ่มตามยอดเงินในบัญชีที่ผูกไว้เท่านั้น ส่วน “บัตรเครดิต” มีวิธีเพิ่มวงเงิน 2 แบบ คือ

(1) แบบชั่วคราว หากคุณถือบัตรอย่างน้อย 6 เดือน สามารถโทรไปขอเพิ่มวงเงินกับธนาคารได้ทันที แต่สามารถใช้ได้เพียงแค่ 30 วันเท่านั้นนะคะ

(2) แบบถาวร บางธนาคารจะเพิ่มวงเงินให้กับคุณเองในทุกปี แต่บางธนาคารเราต้องไปยื่นเรื่องขอเพิ่มวงเงินเอง ซึ่งธนาคารจะพิจารณาว่า ประวัติหรือเครดิตของคุณเป็นอย่างไร อาทิ หากคุณมีประวัติชำระล่าช้าหรือค้างชำระอย่างน้อย ๆ 6 เดือน ธนาคารอาจไม่อนุมัติเพิ่มวงเงินให้คุณ

ข้อดี-ข้อเสีย บัตรเครดิต vs บัตรเดบิต

บัตรเครดิต

ข้อดี : คุณไม่ต้องพกเงินสด สามารถเลื่อนการชำระเงินออกไปได้ ที่สำคัญบัตรแต่ละใบมักมีโปรโมชั่น ทั้งให้สะสมคะแนน สะสมแต้ม เพื่อแลกรับสิทธิพิเศษ อย่างส่วนลด หรือขอเงินคืน

ข้อเสีย : ทำให้เจ้าของบัตรนิสัยเสีย เนื่องจากใช้เงินเกินตัว บางรายอาจรูดบัตรจนมีหนี้สินพอกพูน ยิ่งหากคุณเลือกชำระคืนแบบผ่อนด้วยแล้ว เตรียมเสียดอกเบี้ย 18-20% ต่อปีได้เลย

บัตรเดบิต

ข้อดี : ง่ายต่อการควบคุมค่าใช้จ่าย เนื่องจากทุกยอดใช้จ่ายของบัตรเดบิต คือ การหักเงินออกจากบัญชีของคุณจริง ๆ ทำให้ลดความเสี่ยงที่คุณต้องเจอหนี้ก้อนโตช่วงปลายเดือน

ข้อเสีย : มีค่าธรรมเนียมที่ต้องเสียมากกว่าบัตรเครดิต ทั้งค่าแรกเข้าและแบบรายปี ขณะที่การชำระเงินหรือซื้อของออนไลน์ไม่สามารถทำได้ในทันที อาจต้องโทรติดต่อธนาคารเพื่อทำการเปิดใช้งานบริการส่วนเสริมต่าง ๆ ก่อน