“แนน-ณัฐรดา” บนเส้นทางชีวิตของผู้หญิงสายกีฬา

หลายหลากบทบาทในชีวิต ของสาวนักกิจกรรมที่ชื่นชอบทั้งกีฬา และหลงรักในเสียงเพลง ผันตัวจากอดีตนักล่าฝันบ้านเอเอฟ เข้าสู่วงการฟุตบอลด้วยการเป็นพิธีกรภาคสนาม ในรายการฟุตบอลชั้นนำของประเทศไทย วันนี้เราจะพาทุกท่านมารู้จักกับสาวสวยมากความสามารถ “แนน ณัฐรดา ก่อสุวรรณ” หรือ “แนน AF1” ว่าจุดเริ่มต้นในแต่ละบทบาทที่เธอต้องรับผิดชอบนั้นมาจากอะไร รวมไปถึงเรื่องของความรักที่กำลังอินเลิฟอยู่กับโค้ชระดับ FIFA Elite เบอร์หนึ่งของเมืองไทย “เปาโค้ช ศิวกร ภูอุดม” เส้นทางความรักที่ควบคู่ไปกับการทำงานจนเกิดเป็นรักข้างสนามของทั้ง 2 คนเป็นมาอย่างไร เราไปฟังคำตอบทั้งหมดจากเธอกันเลย

ก่อนเข้าวงการบันเทิงเคยเป็นนักกีฬายิมนาสติก ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเป็นมายังไง

แนน : เริ่มต้นตอนอายุประมาณ 5 ขวบค่ะ สุขภาพร่างกายแนนไม่ค่อยดี เพราะว่าคุณแม่จับนั่งเร็วเกินไป ทำให้กระดูกสันหลังคดงอเป็นตัวเอส แล้วตอนนั้นพึ่งจะมีกีฬายิมนาสติกลีลาเข้ามาในประเทศไทย และแนนก็ได้มีโอกาสไปเจอครูสอนเต้นบัลเลย์ท่านนึง ท่านบอกว่าให้ลองมาเล่นกีฬาชนิดนี้ดู เพื่อเป็นการฝึกให้ร่างกายของเราแข็งแรง รวมถึงเป็นการปรับท่าทาง บุคลิกภาพต่างๆ นี่เลยเป็นที่มาของการเข้าไปเล่นกีฬายิมนาสติกลีลาค่ะ จากเล่นเพื่อสุขภาพ แนนก็เริ่มมาแข่งขันในระดับตัวแทน จนไปถึงตัวแทนประเทศไทยในนามของทีมชาติ ก็เลยกลายเป็นนักกีฬายิมนาสติกในที่สุดค่ะ

จากนักกีฬายิมนาสติก คิดยังไงถึงมาประกวดอะคาเดมี่ แฟนเทเชีย

แนน : แนนเป็นลูกสาวคนโต แล้วก็มีน้องสาวอีกหนึ่งคนค่ะ ซึ่งเราทั้งสองจะถูกสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่ให้ทำกิจกรรมทุกอย่างที่เหมือนกันแล้วก็ควบคู่กันไป มีทั้งร้องเพลง เล่นกีฬายิมนาสติกลีลา โดยนโยบายของที่บ้านคือ ถ้าคนนึงทำกิจกรรมแบบนี้อีกคนก็ต้องทำด้วย เพื่อให้ง่ายต่อการไปรับ-ส่งของคุณพ่อคุณแม่ และทำให้มีกิจกรรมร่วมกันระหว่างพี่น้อง ทั้งยังได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ นี่เลยเป็นที่มาว่าทำไมแนนถึงได้ไปประกวดอะคาเดมี่ แฟนเทเชียค่ะ

ภาพก่อนเข้าวงการ เมื่อตอนแนน-ณัฐรดา เป็นนักกีฬายิมนาสติกลีลา ทีมชาติไทย

จากนักร้องขยับเข้าสู่วงการฟุตบอลไทย ด้วยการเป็นพิธีกรภาคสนามหรือผู้ประกาศข่าวได้อย่างไร

แนน : หลังจากจบออกจากบ้านอะคาเดมี่ แฟนเทเชียแล้ว ก็มีผู้ใหญ่ในบริษัททรูวิชั่น อยากให้แนนลองมาทดสอบบทบาทการเป็นพิธีกร โดยเริ่มจากสายบันเทิงก่อนและเราก็สามารถทำได้ เลยพอมีพื้นฐานการพูดอยู่บ้าง แล้วค่อยปรับเปลี่ยนมาทางด้านการถ่ายทอดสดกีฬา เพราะผู้ใหญ่เห็นว่าเรามีความรู้เรื่องกีฬา รวมถึงเราเคยเป็นนักกีฬามาก่อน น่าจะช่วยให้นำทักษะการพูดที่เรามีบ้างแล้ว มาปรับใช้และนำเสนอในรูปแบบของการถ่ายทอดสด ในบทบาทของพิธีกรภาคสนามหรือผู้ประกาศข่าวได้ค่ะ

ความเหมือนและความแตกต่าง ระหว่างอาชีพนักกีฬา-นักร้อง-ผู้ประกาศข่าว

แนน : ทั้ง 3 อาชีพมีสิ่งนึงที่เหมือนกันเลยก็คือ การมีสติในการนำเสนอ เพราะคุณมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะทำมัน ส่วนความแตกต่างก็คือ ประเภทของแต่ละอาชีพ เพราะผู้ประกาศข่าวจะเน้นลักษณะความสามารถในเรื่องการพูด นักร้องก็จะเน้นในเรื่องของทักษะการใช้เสียงที่เป็นเมโลดี้ รวมถึงการขับร้องและการนำเสนอให้น่าสนใจ เรียกว่าจะต้องเป็นนักเอ็นเตอร์เทนต์เนอร์ที่ดีได้ด้วย อีกหนึ่งอาชีพอย่างนักกีฬาที่อาจจะไม่ต้องใช้เรื่องของน้ำเสียงเลย แต่ต้องไปเน้นการฝึกฝนเพื่อทำให้การแข่งขันในแต่ละครั้งประสบความสำเร็จ แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับสติสัมปชัญญะที่มี และก็สิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ เราต้องทำให้ได้ เพียงแค่ลักษณะของเนื้องานมันอาจจะไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง

ภาพแนน-ณัฐรดา ทำหน้าที่เป็นพิธีกรภาคสนามในรายการฟุตบอลของช่องทรูวิชั่น

นักกีฬา-นักร้อง-ผู้ประกาศข่าว ชอบบทบาทไหนมากกว่ากัน

แนน : แนนชอบทุกช่วงเวลาที่ได้ทำกิจกรรมต่างๆ ที่ผ่านมา เพราะมันเป็นการต่อยอดให้แนนมาถึงทุกวันนี้ โดยเริ่มต้นจากการเป็นนักกีฬาก่อน ที่ได้ทั้งความแข็งแรง บุคลิกภาพ แล้วก็ยังได้ฝึกบัลเลย์ ฝึกเต้น เลยได้ทักษะการเต้นมาใช้ควบคู่กับการร้องเพลงในบ้านนักล่าฝัน ได้เป็นนักร้อง ได้ขึ้นไปแสดงบนเวที ได้มอบความสุขให้คนอื่น หลังจากนั้นก็เลยนำศาสตร์ทั้งหมดมารวมกันกลายเป็นจุดที่แนนยืนอยู่ทุกวันนี้ค่ะ

ตอนนี้ความรักกับ “โค้ชเปา” เป็นยังไงบ้าง

แนน : จริงๆ แล้วตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยมีความรักที่ชัดเจนเลย เพราะว่าแนนเป็นเด็กกิจกรรมที่ให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมมากๆ พอโตขึ้นก็คิดแค่ว่าจะต้องทำงาน รับผิดชอบเลี้ยงดูครอบครัว แต่พอมา ณ วันนี้ด้วยวุฒิภาวะที่มันพร้อม ก็ยังเคยพูดกับโค้ชเลยว่า บางครั้งที่พ่อแม่พยายามให้เราเดินในกรอบ มันเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ถ้าทำได้แล้ววันนึงเจอคนที่ใช่กับเราพอดี เป็นเหมือนเพื่อนเดินร่วมทาง ช่วยกันพัฒนาชีวิตประจำวันให้อยู่ในรูปแบบที่เราอยากจะให้เป็น เพียงแต่พอใช้คำว่าความรัก ทุกอย่างมันจะดูเป็นสีชมพูนิดนึง (เขิน)

จุดเริ่มต้นของความรักครั้งนี้เป็นมายังไง

แนน : คงมาจากลักษณะของการทำงาน เพราะว่าโค้ชเปาเป็นผู้ตัดสินกีฬาฟุตบอล ส่วนแนนเองก็เป็นพิธีกรภาคสนาม ซึ่งจะเคยเจอกันอยู่แล้วในสนามฟุตบอลแต่ละสโมสรที่ทำการแข่งขัน ก็จะพูดคุยกันตามปกติ ทักทายกันด้วยสายตาบ้าง (หัวเราะ) จนปีที่ผ่านมาเขาเข้ามาทักทายผ่านทางเฟสบุ๊ค โดยที่เราก็ยังไม่รู้ว่าเขาสนใจในตัวเรา แต่พอไปได้ยินจากคนรอบข้างเขา คือเขาประทับใจในตัวเรามาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่อย่างที่บอกว่าแนนเป็นคนค่อนข้างโฟกัสกับงาน ตอนนั้นเลยยังไม่ได้สนใจในตัวเขา จนจบฤดูกาลที่แล้วก็เลยลองเปิดหน้าต่างหัวใจ พอได้คุยก็โอเค ลองเรียนรู้ ลองศึกษาดูค่ะ

ภาพแนน-ณัฐรดา กับหวานใจ เปาโค้ช ศิวกร ภูอุดม โค้ชระดับ FIFA Elite เบอร์หนึ่งของเมืองไทย

เวลาเจอกันกับ “โค้ชเปา” ในสนามมีเขินบ้างไหม

แนน : ภายนอกดูเหมือนไม่เขินแต่จริงๆ ข้างในเขินมากโดยเฉพาะโค้ช เราก็เลยคุยกันก่อนว่า นอกสนามจบ 90 นาทีจากสเตเดี้ยม นั่นคือเรื่องของเรา แต่พอก้าวเข้าสนามอยู่ในสเตเดี้ยม เราทั้ง 2 คนต่างแยกย้ายกันทำหน้าที่ของตัวเอง ทำเหมือนปกติแต่ว่าไม่ได้ปิดบังอะไรนะคะ แค่อยากให้ตัวแนนเองและโค้ชโฟกัสกับงานที่ทำ และมันก็จะช่วยตัดความเขินออกไปได้บ้างด้วยค่ะ

ฝากอะไรถึงโค้ชเปาไหม

แนน : ทุกวันนี้พยายามให้กำลังใจเขาตลอด เพราะทุกครั้งที่เขาทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน อยากจะให้เขาทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด และก็เชื่อมั่นในตัวเขาเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสนามเขาเป็นคนตัดสิน แต่ว่าข้างนอกเราก็จะช่วยสนับสนุนค่ะ

ฝากผลงาน

แนน : ตอนนี้แนนทำหน้าที่เป็นพิธีกรภาคสนามของฟุตบอลโตโยต้า ไทยลีก ฤดูกาล 2018 อยากให้ทุกคนมาช่วยกันสนับสนุนสโมสรที่คุณรัก เพราะว่าตอนนี้วงการฟุตบอลไทยของเราก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มที่จะเป็นจุดสนใจมากยิ่งขึ้น อยากจะให้ทุกคนมาติดตามเชียร์ เข้ามาสนับสนุนนักกีฬาไทยกันเยอะๆ ค่ะ … สุดท้ายขอฝากร้านกาแฟ Loft Café ด้วยนะคะ ร้านนี้ยังเป็นแค่ผู้ช่วยหุ้นส่วนเท่านั้น ก็ช่วยกันมาต่อยอดเยอะๆ ไม่แน่ว่าสาขาต่อไปอาจจะเป็นของแนนกับโค้ชก็ได้ (หัวเราะ)