การรับใช้ชาตินั้นถือเป็นหนึ่งในความฝันของนักเตะหลายๆคนทั่วโลก แต่จะมีสักกี่คนที่เป็นถึงนักเตะระดับตำนาน และได้ร่วมงานกับชาติของตนทั้งในฐานะนักเตะและกุนซือ และหลังจากที่ไรอัน กิ๊กส์เตรียมที่จะเริ่มบทบาทใหม่ในฐานะกุนซือทีมชาติเวลส์ ซึ่งจะเป็นงานระดับผู้จัดการทีมแบบเต็มตัวครั้งแรก Tonkit360 จึงจะมาย้อนรอยดูนักเตะระดับตำนานที่ผันตัวมาเป็นกุนซือระดับทีมชาติของตัวเอง ว่าพวกเขาจะมีผลงานยอดเยี่ยม หรือ “ยอดแย่” ขนาดไหน โดยเราจะพาไปดูทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาใต้ด้วย
คาร์ลอส ดุงก้า (บราซิล)
ดุงก้าถือเป็นเพียงหนึ่งใน 20 นักเตะที่เคยได้สัมผัสแชมป์โลก ในฐานะกัปตันทีม ซึ่งเขาได้ชูถ้วย “จูร์ส ริเมร์” เมื่อปี 1994 กับทีมชาติบราซิล แถมเขายังได้รับโอกาสมาคุมทัพ “เซเลเซา” ถึง สองคำรบในปี 2006 และปี 2014 แต่น่าเสียดายที่ผลงานก็ไม่ค่อยเปรี้ยง เพราะเขาทำบราซิลเข้าไปถึงแค่รอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้น แถมยังทำทีมตกรอบ “โคปา อเมริกา” ตกรอบแบ่งกลุ่มในปี 2016 อีก จึงทำให้เขาต้องอำลาทัพแซมบ้าเป็นคำรบสองไป
ฮอง เมียง โบ (เกาหลีไต้)
ถ้าจะเรียก “ฮอง” เป็นหนึ่งในนักเตะตำนานของเอเชียนั้น ก็คงไม่มีใครกล้าเถียง เพราะอดีตกองหลังทีมชาติเกาหลีใต้เป็นถึงเจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมอันดับ 3 ประจำศึกฟุตบอลโลกปี 2002 และยังติดทีมยอดเยี่ยมฟุตบอลโลกปีนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม ผลงานการเป็นกุนซือของเขานั้นก็อาจจะไม่ค่อยดีนัก เพราะหลังจากทำเกาหลีใต้ชุดยู 23 ได้เหรียญทองแดงในการแข่งโอลิมปิก ปี 2012 ฮองก็ได้โอกาสทำทีมชาติเกาหลีใต้ชุดใหญ่ แต่กลับไม่ชนะใครเลยในศึกฟุตบอลโลกปี 2014 จนเขาต้องขอลาออกไปในที่สุด
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (ไทย)
“โค้ชซิโก้” ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของวงการฟุตบอลไทยด้วยการทำไปถึง 71 ประตูในนาม “ไทยแลนด์” และการเข้ามารับงานของเขากับทัพ “ช้างศึก” นั้น ได้รับความสนใจจากแฟนบอลไทยหลายต่อหลายคน ไปจนถึงสไตล์ฟุตบอลแบบเล่นบอลบนพื้น รวมกับผลงานการทำทีมคว้าแชมป์อาเซียน สองสมัยติด แถมยังทำทีมชาติไทยชุดอายุ 23 ปีได้อันดับ 4 ในรายการเอเชียน เกมส์อีก ก็ต้องชมว่ายุคของ “ซิโก้” ในฐานะกุนซือทีมชาติไทยนั้นก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ว่าผลงานในรอบคัดฟุตบอลโลก 12 ทีมสุดท้ายนั้นอาจจะดูแย่ไปหน่อยเท่านั้นเอง
ดิเอโก้ มาราโดน่า (อาร์เจนติน่า)
ถ้าอ่านมาถึงตอนนี้ ก็อาจจะพอเห็นแล้วว่า “เป็นนักเตะเก่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะคุมทีมเก่งเหมือนกัน” ซึ่งการทำงานของมาราโดน่าในฐานะกุนซือทีมชาติอาร์เจนติน่าของเขานั้นถือเป็นการยืนยันเรื่องนี้เลย เพราะการทำทีมชาติของเขานั้นถือว่ากระท่อนกระแท่นพอตัว และยังเคยโดนสหพันธ์ฟุตบอลหรือ “ฟีฟ่า” สั่งแบนสองเดือนเพราะไปใช้ถ้อยคำหยาบคายในการแถลงข่าวด้วย ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเลยยิ่งเขาเป็นถึงกุนซือระดับชาติด้วย
ส่วนผลงานในฟุตบอลโลก ปี 2010 นั้น อาร์เจนติน่าก็โดนเยอรมนีสอนบอลไป 4-0 จนตกรอบก่อนรองชนะเลิศ และมาราโดน่าก็ลาจากกับทีม “ฟ้า-ขาว” แบบ “ตัดเพื่อน” เพราะสุดยอดนักเตะรายนี้ไปกล่าวหาว่าสมาคมฟุตบอลอาร์เจนติน่าโกหกเขา และต้องการจะไล่เขาและทีมงานของเขาออก แม้จะมีข่าวออกมาก่อนว่าจะมีการต่อสัญญาของเขาออกไปก็ตาม
อีกคนที่ต้องพูดถึงคือดาเนียล ปาสซาเรลล่า อดีตกัปตันทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดแชมป์โลกปี 1978 ที่เคยรับงานคุมทัพ “ฟ้า-ขาว” แต่กลับออกกฎเยอะมากจนสร้างปัญหาในทีม และผลงานก็แย่ตามไปอีกจนโดนปลดไปในปี 1998
ดิดิเยร์ เดส์ชอง (ฝรั่งเศส)
หลังจากที่ฝรั่งเศสนั้นคาอยู่ในยุคมืดอยู่นานพอสมควรนับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าถึงรอบชิงฟุตบอลโลกปี 2006 การเข้ามาของ “เดเด้” หรือ ดิดิเยร์ เดส์ชองทำให้ทัพ “ตราไก่” เริ่มมีความหวังอีกครั้งเพราะพวกเขาได้อดีตกัปตันทีมชุดแชมป์โลกปี 1998 มารับงาน แถมผลงานในทัวร์นาเม้นต์แรกของ “เดเด้” นั้นก็ถือว่าน่าพอใจพอสมควร เพราะเขาสามารถพาทีมชาติฝรั่งเศสเข้าถึงรอบชิงศึกยูโร 2016 ในฐานะเจ้าภาพ และแม้จะได้แค่รองแชมป์ แต่การทำทีมระดับนี้ของเดส์ชอง ก็เป็นสัญญาณที่ดีของชาติยักษ์ใหญ่รายนี้ก่อนจะถึงศึกฟุตบอลโลกปี 2018 ด้วย
มาร์โก ฟาน บาสเต็น (เนเธอร์แลนด์)
กองหน้าระดับตำนานอย่างฟาน บาสเต็น นั้นได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาคุมทีม “กังหันสีส้ม” ในปี 2004 และเริ่มแผนการ “ถ่ายเลือด” ด้วยการตัดชื่อนักเตะระดับตำนานอย่าง รอย มาคาย, เอ็ดการ์ ดาวิดส์ และมาร์ค ฟาน บ็อมเมล ออกจากทีม พร้อมเรียกนักเตะใหม่ๆขึ้นมา เช่นเดนนี่ แลนด์ซาร์ต และโยริส มาไธจ์เซ่นเป็นต้น
ส่วนผลลัพธ์นั้น กลายเป็นเนเธอร์แลนด์ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายรายการฟุตบอลโลกปี 2006 แบบดูไม่จืด แถมยังโดนคนดัตช์ด้วยกันอย่างกุส ฮิดดิงค์ ที่คุม “หมีขาว” รัสเซีย เขี่ยตกรอบก่อนรองชนะเลิศรายการ ยูโร 2008 ไป
ฟรานซ์ เบคเคนเบาเออร์ (เยอรมนีตะวันตก)
เบคเคนเบาเออร์ถือเป็นหนึ่งในสองคนบนโลกใบนี้ ที่สัมผัสแชมป์ฟุตบอลโลกในฐานะกุนซือและกัปตันทีม แน่นอนว่าเขาถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก และเป็นคนที่ให้กำเนิดตำแหน่ง “ลิเบโร่” หรือการเล่นแบบ “สวีปเปอร์” นั่นเอง
แม้ว่าเขาจะถูกดำเนินคดีเรื่องการฟอกเงินในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2006 แต่ความสำเร็จของเขาในฐานะนักเตะที่คว้าแชมป์โลกปี 1974 และการคุมทีมชาติเยอรมนีตะวันตกคว้าแชมป์โลกปี 1990 นั้นก็ถือว่าหาตัวจับยากพอสมควรเลย
ไรอัน กิ๊กส์ (เวลส์)
การที่ “กิ๊กซี่” ได้รับตำแหน่งนี้ ก็ถือเป็นทั้งเรื่องที่น่ายินดี และน่าห่วงในเวลาเดียวกัน เพราะหากกิ๊กส์สามารถทำผลงานได้เหมือนกับอดีตเพื่อนร่วมชาติอย่าง แกร์รี่ สปีด ที่พัฒนาฟุตบอลทีมชาติเวลส์ได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงสานต่อการทำงานของคริส โคลแมน กุนซือคนก่อนได้ อนาคตของฟุตบอลเวลส์ในระดับโลกก็ถือว่าน่าจับตามองทีเดียว
แต่สิ่งที่หลายๆคนอาจจะยังเป็นกังวลนั้น คือการที่อดีตปีกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้นยังไม่เคยมีประสบการณ์การทำทีมแบบเต็มตัวมาก่อน เขาจะแบกรับงานและความกดดันตรงนี้ได้อย่างไรบ้าง แต่เชื่อว่าแฟนๆ “มังกรแดง” และรวมไปถึงแฟน “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็น่าจะคอยเอาใจช่วย “ปีกพ่อมด” รายนี้ให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่กุนซือเต็มตัวครั้งแรกอย่างแน่นอน